ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (14 มิ.ย.) ซึ่งเป็นการดีดตัวขึ้นติดต่อกัน 4 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนยังคงเข้าซื้อหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ หลังจากราคาโลหะในตลาดโลกพุ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนถูกกดดันจากการร่วงลงอย่างหนักของหุ้นบีพี หลังจากมีรายงานว่าวิกฤตการณ์น้ำมันรั่วในอ่าวเม็กซิโกอาจทำให้บีพีต้องระงับการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนี FTSE 100 ดีดขึ้น 38.45 จุด หรือ 0.74% ปิดที่ 5,202.13 จุดหลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 5,163.68 - 5,215.22 จุด
นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ หลังจากราคาโลหะพื้นฐานในตลาดโลกยังคงเคลื่อนไหวในระดับสูง โดยหุ้นคาซัคมิสปิดบวก 3.3% หุ้นแองโกล อเมริกัน ปิดพุ่ง 3.7% และหุ้นเอ็กซ์สตราตา ปิดทะยานขึ้น 4.3%
ตลาดหุ้นลอนดอนได้แรงหนุนจากรายงานคาดการณ์สำนักงานรับผิดชอบงบประมาณ (Office for Budget Responsibility : OBR) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งใหม่ของอังกฤษ ที่ระบุว่า ยอดขาดดุลงบประมาณของอังกฤษมีแนวโน้มลดลงมากกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้
ขณะที่นายริชาร์ด แลมเบิร์ต อดีตคณะกรรมการกำหนดนโยบายของธนาคารกลางอังกฤษ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานสมาพันธ์อุตสาหกรรมแห่งอังกฤษ (CBI) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจอังกฤษจะขยายตัวในอัตรา 1.3% ในปีนี้ และ 2.5% ในปีหน้า ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่รวดเร็วกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากการร่วงลงของเงินปอนด์จะช่วยให้กลุ่มผู้ผลิตของสหรัฐเพิ่มปริมาณการส่งออก
หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้น โดยหุ้นธนาคาร HSBC ปิดบวก 0.7% หุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ปิดพุ่ง 1.6% หุ้นธนาคารบาร์เคลย์สพุ่งขึ้น 3.6% และหุ้นธนาคารรอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ ปิดบวก 1.9 %
ขณะที่หุ้นบีพีร่วงลง 9.3% ปิดที่ระดับ 355.45 เพนซ์ ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.ปี 2551 หลังจากมีข่าวว่า บริษัทบีพีอาจระงับการจ่ายเงินปันผลมูลค่า 1.8 พันล้านปอนด์/ไตรมาสให้กับผู้ถือหุ้น จนกว่าบริษัทจะสามารถสรุปค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการแก้ปัญหาน้ำมันรั่วไหลครั้งนี้ รวมถึงการพิสูจน์ให้ทำเนียบขาวเห็นว่า บีพีสามารถหาเงินได้มากพอสำหรับรับมือกับปัญหาดังกล่าว บีพีกำลังเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนักจากรัฐบาลสหรัฐที่ต้องการให้บีพีนำเงินมาใช้เพื่อทำความสะอาดคราบน้ำมัน หลังจากแท่นขุนเจาะน้ำมันใต้ทะเลระเบิดจนส่งผลให้เกิดน้ำมันรั่วไหลครั้งใหญ่ในอ่าวเม็กซิโก ซึ่งจนถึงขณะนี้บริษัทได้ใช้เงินในการรับมือกับปัญหาดังกล่าวไปแล้ว 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ