ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (4 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังจากธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด รายงานผลประกอบการที่น้อยกว่าคาด ซึ่งส่งผลบดบังปัจจัยบวกจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ รวมถึงภาคเอกชนที่จ้างงานเพิ่มขึ้นและดัชนีภาคบริการที่ขยายตัวเกินคาดในเดือนก.ค.
ดัชนี FTSE 100 ปิดลบ 10.32 จุด หรือ 0.19% แตะที่ 5,386.16 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 5,318.79 - 5,406.83 จุด
นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังจากธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด รายงานว่ารายได้จากธุรกิจ consumer banking อยู่ที่ระดับ 2.91 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ที่ 2.98 พันล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ หุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดปิดร่วง 5.1% หุ้นธนาคารบาร์เคลย์ส ปิดลบ 0.9%
อย่างไรก็ตาม หุ้นธนาคารรอยัล แบงค์ ออฟ สก็อตแลนด์ (อาร์บีเอส) ปิดบวก 0.1% จากข่าวที่ว่า อาร์บีเอสตกลงขายสาขาย่อย 318 แห่งของธนาคารให้กับ บังโก ซานตานเดร์ ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ของสเปน คิดเป็นมูลค่า 1.65 พันล้านปอนด์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการขายทรัพย์สินของอาร์บีเอส หลังจากถูกรัฐบาลอังกฤษเข้าเทคโอเวอร์กิจการผ่านการให้เงินช่วยเหลือในช่วงที่เกิดวิกฤตการเงิน
สมาคมนายธนาคารแห่งอังกฤษระบุว่า การขายสาขาย่อยของอาร์บีเอสในครั้งนี้จะทำให้ซานตานเดร์มีสาขาย่อยของตนเองเพิ่มเป็น 1,600 แห่ง ส่งผลให้ซานตานเดร์ก้าวขึ้นเป็นธนาคารพาณิชย์รายใหญ่อันดับ 4 ในอังกฤษเมื่อพิจารณาจากจำนวนสาขา รองจากลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป, บาร์เคลย์ส พีแอลซี และอาร์บีเอส
หุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยหุ้นบีจี กรุ๊ปร่วงลง 1.5% หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ปิดลบ 0.8% อย่างไรก็ตาม หุ้นบีพีปิดบวก 1.4% หลังจากมีรายงานว่าปฏิบัติการแก้ไขปัญหาน้ำมันรั่วในอ่าวเม็กซิโกของบีพีมีความคืบหน้ามาก
ฮาลิแฟกซ์ ซึ่งเป็นแผนกสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป พีแอลซี เปิดเผยว่า ราคาบ้านในอังกฤษประจำเดือนก.ค.พุ่งสูงสุดในรอบ 4 เดือน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลกมีส่วนช่วยกระตุ้นอุปสงค์ในตลาดที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ ราคาบ้านโดยเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.6% แตะที่ 167,425 ปอนด์ (266,540 ดอลลาร์สหรัฐ) สวนทางกับที่ปรับตัวลดลงในเดือนมิ.ย. และหากเทียบกับปีก่อนหน้านี้ ราคาบ้านขยายตัวที่ 4.6%