บลจ.ยูโอบี คาดปีนี้ AUM แตะ 8 หมื่นลบ.,เพิ่มเป้าดัชนี SET ตาม Fund Flow เข้า

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday September 9, 2010 18:21 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวนา พูนผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ยูโอบี กล่าวว่า บริษัทฯจะพยายามทำเป้าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ให้เพิ่มขึ้นเป็น 8 หมื่นล้านบาท โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้บริษัทฯมียอด AUM รวมอยู่ที่ประมาณ 5.3-5.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทฯมีแผนที่จะออกกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ประมาณเดือนละ 2-3 กอง และกองทุนที่ไม่ได้ลงทุนในตราสารหนี้อีก 1 กองต่อเดือน หรือ 2 เดือนต่อ 1 กอง

ล่าสุด บริษัทออกกองทุนใหม่ คือ กองทุนเปิดยูโอบี สมาร์ท ดิวิเดนด์-โฟกัส อิควิตี้ ซึ่งมีขนาดโครงการ 2 พันล้านบาท โดยจะขายไอพีโอในช่วงระหว่างวันที่ 9-16 ก.ย.โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายเลือกลงทุนในหุ้นที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผล(Dividend Yield) ในระดับ 6-10% และเลือกลงทุนเป็นหุ้นรายตัว มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ รวมทั้งเป็นธุรกิจที่ค่อนข้างนิ่ง และไม่ต้องการขยายการลงทุนมาก เป็นหุ้นที่ราคาไม่มีความหวือหวา

นายวนา กล่าวว่า บริษัทฯปรับเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีนี้มีโอกาสแตะ 900-950 จุด จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 900 จุด โดยปัจจัยหลักที่ช่วยผลักดันตลาดปรับตัวขึ้นไปมาจาก Fund Flow จากต่างชาติที่เชื่อว่ายังมีทิศทางของการไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย และตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง

ประกอบกับ สภาพเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นโดยคาดว่าจีดีพีปีนี้มีโอกาสเห็นเติบโต 7-7.5% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อก็มองว่าทางการจะควบคุมได้ อัตรากำไรของบริษัทจดทะเบียนต่างๆก็มีโอกาสขยายตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงถ้าไม่มีปัญหาการเมืองเกิดขึ้นอีก และวิกฤติต่างๆในต่างประเทศไม่เกิดปัญหาซ้ำซ้อน แต่ยังคงแนะให้ติดตามดูเรื่องของ Fund Flow เป็นพิเศษ เพราะมีผลกระทบต่อค่าเงินและทำให้ดัชนีผันผวนได้แรง

นายวนา กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับขึ้นแรงและเร็วในตอนนี้คงมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกไม่มากแล้ว แต่ก็ยังประมาทไม่ได้เพราะเม็ดเงินลงทุนยังไหลเข้าอยู่จำนวนมาก ทำให้ค่าเงินบาทตอนนี้ทะลุ 31 บาท/ดอลลาร์ไปแล้ว นักลงทุนจึงต้องควรระมัดระวังเป็นพิเศษ

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทก็ไม่ได้มีการปรับพอร์ตของกองทุนที่ลงทุนในหุ้น ปัจจุบัน ถือเงินสดเฉลี่ย 5-10% ของพอร์ต และเน้นให้ลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ พร้อมทั้งแนะนำว่านักลงทุนควรมีการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนโดยให้จัดพอรต์การลงทุนในหุ้นต่างประเทศมากกว่าหุ้นในประเทศ เช่น ลงทุนหุ้นในประเทศ 10% ของพอร์ต ลงทุนหุ้นต่างประเทศ 20% ของพอร์ต เนื่องจากตลาดหุ้นไทยมีมาร์เก็ตแคปเล็กไม่เหมือนตลาดต่างประเทศอย่างเช่น สหรัฐฯ ยุโรป หรือเอเชียที่มีมาร์เก็ตแคปใหญ่

แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะแนะนำให้เข้าไปลงทุนในตลาดสหรัฐฯหรือยุโรปในขณะนี้ แต่ให้ดูเป็นภูมิภาคมากกว่าหากภูมิภาคใดมีแนวโน้มเติบโตดี หรือมีโอกาสเติบโตได้อีก อย่างเช่น ตลาดเอเชียที่กำลังน่าสนใจเนื่องจากเป็นตลาดเกิดใหม่และมีแนวโน้มเติบโตได้อีก แต่ถ้าในอนาคตต่อไปอีก 2-3 ปี ถ้าตลาดเอเชียผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และถ้าตลาดสหรัฐฯและยุโรปสามารถผ่านจุดวิกฤตต่างๆไปได้ก็คงน่าสนใจและน่ากลับมาลงทุนได้อีก

ในส่วนทิศทางของค่าเงินบาทคาดว่ายังมีทิศทางของการแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในประเทศ ทั้งนี้คาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25 บาท ก่อนสิ้นปีนี้ จึงเป็นตัวดึงดูดให้นักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้นทั้งในตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้ และทั้งนี้คาดว่าค่าเงินบาทสิ้นปีนี้มีโอกาสแตะ 29 บาท/ดอลลาร์


แท็ก ตราสารหนี้   SET  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ