นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย เปิดเผยว่า บริษัทจะเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทย รัสเซีย ฟิกซ์อินคัม 1 KTRF1)ระหว่างวันที่ 22-28 ก.ย.53 มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท อายุ 2 ปี 7 เดือน จ่ายผลตอบแทนคืนอัตโนมัติทุก 3 เดือน มูลค่าเงินลงทุนขึ้นต่ำ 10,000 บาท
กองทุนดังกล่าวมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ เงินฝาก ตรารสารทางการเงินที่รัฐบาล องค์การ หน่วยงานของรัฐบาล องค์การระหว่างประเทศ รัฐวิสาหกิจ หรือภาคเอกชนของประเทศรัสเซีย เป็นผู้ออก หรือผู้ค้ำประกัน โดยกองทุนจะนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมุลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลืออาจพิจารณาลงทุนในเงินฝาก ตราสารแห่งหนี้ทั่วไป ตามที่คณะกรรมการก.ล.ต.กำหนด
จุดเด่นของกองทุนนี้ คือเป็นทางเลือกใหม่สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศรัสเซีย ที่มีฐานะการคลัง และการเงินระหว่างประเทศที่แข็งแกร่ง เน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่ผู้กู้เป็นสถาบันการเงินหรือกิจการ ซึ่งภาครัฐของประเทศรัสเซียเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่(Government related firms) โดยกองทุนจะลงทุนผ่านตราสารประเภท Loan Participation Note สกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ได้รับความนิยมของกิจการในรัสเซียเพื่อใช้ระดมเงินทุนจากต่างประเทศ และตราสารที่ลงทุนได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกับผู้กู้เหล่านี้ และระดับเดียวกับประเทศรัสเซียที่ BBB โดย S&P
ตราสารที่กองทุนจะลงทุนในสัดส่วนสถาบันการเงินละ 20% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ประกอบไปด้วย 1)SBERRU โดยมี SB Capital SA เป็นผู้ออกตราสาร และ SBERBANK เป็นผู้กู้ ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์เก่าแก่แห่งแรกในรัสเซีย และเป็นสถาบันการเงินใหญ่อันดับหนึ่งของรัสเซีย โดยธนาคารกลางแห่งรัสเซียถือหุ้น 60.30 %
2)ลงทุนใน GAZPRU โดยมี Gaz Capital SA เป็นผู้ออกตราสาร และ GAZPROM เป็นผู้กู้ ซึ่งก่อตั้งในปี 1993 ภายใต้กฎหมายพิเศษแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย เพื่อโอนธุรกิจพลังงานให้ดำเนินการในรูปแบบเอกชน ปัจจุบันภาครัฐยังคงถือหุ้น 50.002% เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจพลังงานครบวงจรโลก ครอบครองทรัพยากรก๊าซธรรมชาติคิดเป็น 17% ของแหล่งสำรองในโลกนี้ และคิดเป็น 70% ของแหล่งสำรองในประเทศรัสเซีย
3)ลงทุนใน RSHB โดยมี RSHB Capital SA เป็นผู้ออกตราสาร และ Aussian Agricultural Bank เป็นผู้กู้ ซึ่งเป็นสถาบันการเงินเชิงนโยบาย( Policy Bank ) ถือหุ้น 100 % โดยธนาคารกลางรัสเซีย เป็นธนาคารที่ให้การสนับสนุนนโยบายของภาครัฐในการอำนวยสินเชื่อแก่ภาคเกษตรกรรมของประเทศรัสเซีย และเป็นสถาบันการเงินที่มีขนาดสินทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศ
4)ลงทุนใน BKMOSC โดยมี KUZNETSI Capital เป็นผู้ออกตราสารและ Bank of Moscow เป็นผู้กู้ ซึ่งในปัจจุบัน City of Moscow ถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อม 62.2% ได้รับการสนับสนุนจาก City of Moscow ทั้งในด้านการเงิน และการรักษาสถานะการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคาร ซึ่งเป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศ
และ 5)ลงทุนใน VTB โดยมี VTB Capital SA เป็นผู้ออกตราสาร และ VTB Bank เป็นผู้กู้ ซึ่งก่อตั้งโดยภาครัฐ เพื่อให้การสนับสนุนกิจการสัญชาติรัสเซียในการให้บริการธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ ปัจจุบันภาครัฐถือหุ้น 85.5% ถือเป็นธนาคารรัฐวิสาหกิจ และเป็นธนาคารใหญ่อันดับ 2 ของประเทศ ดำเนินธุรกิจธนาคารพาณิชย์ครบวงจร ส่งผลให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนประมาณการที่ 3.50%ต่อปี และมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน การลงทุนในกองทุนนี้นับว่า เป็นการเพิ่มโอกาสในการได้รับอัตราผลตอบแทนที่ดีกว่า การฝากเงินหรือลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศไทย
นายสมชัย กล่าวต่อว่า จุดแข็งของประเทศรัสเซียคือเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ มีจำนวนประชากรสูง และยังมีศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกมาก จากที่รัสเซียมีทรัพยากรธรรมชาติมาก ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศได้ดี นอกจากนั้น รัสเซียยังมีความเข้มแข็งทางการคลัง และการเงินระหว่างประเทศสูงอีกด้วย หนี้สาธารณะของรัสเซียอยู่ในระดับต่ำเพียง 8%ของ GDP เท่านั้น ขณะที่เงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูงเป็นอันดับที่ 3 ของโลกและยังมี Sovereign wealth fund ที่มีขนาดใหญ่เป็นแหล่งทุนสำรองที่สามารถนำมาใช้ได้ในยามจำเป็น ทำให้ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของรัสเซียต่ำ