"Weekly Highlight" (20-24 ก.ค.) หุ้นแบงก์โชยกลิ่น "Buy On Fact" โบรกฯ "KTZ" หวั่นโควิดระบาดซ้ำทุบหุ้นไทย !!

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday July 20, 2020 08:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

"Weekly Highlight" สัปดาห์นี้ (20-24 ก.ค.) จะพาคุณผู้ฟังมาเจาะลึกกับข่าวสารสำคัญ ในรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 20 กรกฎาคม 2563

เริ่มต้นกับการสรุปภาพรวมตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่แล้ว (13-17 ก.ค.) SET INDEX ปิดที่ระดับ 1,359.58 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.67% จากสัปดาห์ก่อน โดยกลุ่มหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ กลุ่มของใช้ส่วนบุคคลและเวชภัณฑ์ เพิ่มขึ้น 12.1% รองลงมาคือกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มขึ้น 8.1% และสุดท้ายคือกลุ่มประกันภัยและประกันชีวิต เพิ่มขึ้น 4.2%

ปัจจุบันจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลก ยังคงเร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามรายงานข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) เมื่อวันเสาร์ที่ 18 ก.ค. ตามเวลาท้องถิ่น พบการเร่งตัวของจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นต่อวันทุบสถิติสูงสุดใหม่นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เป็นจำนวนเกือบ 260,000 รายภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งวันเท่านั้น ส่งผลให้ล่าสุดจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมรวมทั่วโลกเพิ่มขึ้นมามากกว่า 14.2 ล้านราย พร้อมคร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 600,000 ราย

ขณะที่ประเทศสหรัฐฯยังคงติดอันดับหนึ่งที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากที่สุดในโลกหลังจากนี้ต้องเฝ้าเกาะติดกับทางการของสหรัฐฯว่าจะพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมระลอกใหม่มากน้อยแค่ไหน เนื่องจากส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลก ที่คาดหวังเม็ดเงินสภาพคล่องไหลเข้าสู่สินทรัพย์การลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาฟื้นตัวได้เช่นเดิม

แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในไทยจะยังไม่ได้เร่งตัวขึ้นเหมือนกับในต่างประเทศ แต่ก็เริ่มมีเสียงสะท้อนกันออกมาถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดการระบาดในระลอกที่สอง เป็นปัจจัยบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนในไทยตั้งแต่นักลงทุนสถาบันไปจนถึงรายบุคคลที่มีต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

ส่วนอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่มีผลต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยรอบสัปดาห์ คงหนีไม่พ้นการรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) นำร่องกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่คาดจะเริ่มทยอยรายงานกันในสัปดาห์นี้ เบื้องต้นนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงเฝ้าระวังการทรุดตัวของกำไรในกลุ่มธนาคารพาณิชย์หลังจากได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา

ด้านปัจจัยเชิงลบที่จะเข้ามากระทบกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนเป็นระยะนั้นคือความเสี่ยงของสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯที่เริ่มส่งสัญญาณความตึงเครียดเพิ่มขึ้น หลังจากสหรัฐฯกำลังเตรียมเข้าสู่ช่วงหาเสียงเพื่อเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯรอบใหม่

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ "กรุงไทย ซีมิโก้" ประเมินภาพรวมหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ว่ามีความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดภาวะ "Buy On Fact" หรือเกิดแรงซื้อคืนเมื่อรายงานงบการเงินชัดเจนแล้ว ส่วนแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยตลอดทั้งสัปดาห์ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลดลง โดยปัจจัยเสี่ยงที่เฝ้าจับตาคือการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ระลอกสองในไทย เพราะหากเกิดขึ้นมีโอกาสสูงที่ตลาดหุ้นไทยจะเกิดแรงขายอย่างหนักในรอบใหม่ได้เช่นกัน นอกจากนั้น ต้องติดตามโฉมหน้าของรัฐมนตรีทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ว่าจะเป็นอย่างไร และสามารถขับเคลื่อนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่องและให้เกิดเป็นรูปธรรมได้มากน้อยแค่ไหน ??

อย่างไรก็ตาม ถ้าหาก 2 ประเด็นหลักคือกำไร บจ.ไตรมาส 2/63 ย่ำแย่และจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญสร้างความผิดหวังให้แก่นักลงทุนก็มีโอกาสตลาดจะปรับตัวลดลงแรงๆได้อีกเช่นกัน ซึ่งหวังว่าคงไม่หลุดแนวรับสำคัญ 1,300 จุด แม้ว่าช่วงสั้นๆจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้บ้าง แต่ก็ยังมีกรอบการฟื้นตัวที่จำกัดอยู่มากเบื้องต้นประเมินแนวต้านอยู่ที่ 1,390 จุด

"เราก็ได้แต่หวังว่าหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่รายงานออกมาเป็นบริษัทแรกๆแนวโน้มกำไรไม่ได้แย่เกินไป น่าจะช่วยหนุนความเชื่อมั่นได้ช่วงสั้น เมื่อประเมินภาพรวมแล้วก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิด Buy On Fact เพราะส่วนหนึ่งนักลงทุนตอบรับเชิงลบไปบ้างแล้ว และหากผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไม่ได้ย่ำแย่อย่างที่คาด มีโอกาสหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์จะตอบรับเชิงบวกมีแรงซื้อเก็งกำไรเข้ามาในระยะสั้นได้เช่นเดียวกัน ขณะที่ทิศทางราคาหุ้นและกำไรในระยะถัดไปของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ก็ยากที่คาดเดา เพราะไม่สามารถเดาแนวโน้มโอกาสตั้งสำรองในครึ่งปีหลังได้ ดังนั้น กว่าจะได้เห็นความชัดเจนว่าหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะร่วงหรือไปต่อคงต้องรอความชัดเจนในวันที่ประชุมนักวิเคราะห์ในรอบที่จะถึงนี้" นายถนอมศักดิ์ กล่าว

ด้านธนาคารกสิกรไทย ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทรอบสัปดาห์นี้อยู่ที่ที่ 31.50-31.90 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์โควิด-19 ของไทยและต่างประเทศท่าทีระหว่างสหรัฐฯ-จีน สัญญาณฟันด์โฟลว์ และข้อมูลการส่งออกของไทยในเดือน มิ.ย. ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญระหว่างสัปดาห์ ได้แก่ ยอดขายบ้านมือสอง ยอดขายบ้านใหม่เดือนมิ.ย. ดัชนีราคาบ้านเดือนพ.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดรอติดตามการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ LPR ประจำเดือนก.ค. ของธนาคารกลางจีน และดัชนี PMI เบื้องต้นสำหรับเดือน ก.ค. ของหลายประเทศชั้นนำด้วย

https://youtu.be/pLtmHWRa2zg


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ