โบรกฯหนุน"ซื้อ"TUFคาด Q1/54เห็นฟื้น,กิจการMVB-ปรับขึ้นราคาขายดันกำไรโต

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday March 11, 2011 11:09 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ส่วนใหญ่เห็นพ้อง"ซื้อ"บมจ.ไทยยูเนียน โฟรเซ่น โปรดักส์(TUF)มองกำไรสุทธิปีนี้เติบโตได้ดีผลจากการควบรวมกิจการกับ MWB ที่ทำให้โครงสร้างต้นทุนลดลงและมาร์จิ้นดีขึ้น ซึ่งทำให้กำไรสุทธิปีนี้เติบโตได้ ขณะที่ P/E ปัจจุบันยังอยู่ระดับต่ำเมื่อเทียบแนวโน้มการทำกำไร

นอกจากนี้ บริษัทจะมีการปรับราคาขายสินค้า เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น จากราคากุ้ง และทูน่า รวมทั้งราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น ประกอบกับ บริษัทได้แก้ปัญหาเรื่องระยะเวลาการรับออเดอร์ล่วงหน้าให้สั้นลงในช่วงที่ราคาวัตถุดิบผันผวน น่าจะช่วยชดเชยผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ หลังจากช่วงไตรมาส 4/53 เกิดปัญหาดังกล่าวทำให้กำไรสุทธิต่ำกว่าที่คาดการณ์

          โบรกเกอร์            คำแนะนำ           ราคาเป้าหมาย(บาท)
          บล.กรุงศรีฯ           ซื้อเก็งกำไร             65.05
          บล.ทรีนิตี้               ซื้อ                  58.00
          บล.บัวหลวง             ซื้อ                  65.00
          บล.ฟิลิป                ซื้อ                  56.50
          บล.เอเซียพลัส           ซื้อ                  73.56
          บล.ทิสโก้               ซื้อ                  51.00
          บล.โกลเบล็ก            ซื้อ                  58.50

นายสิทธิเดช ประเสริฐรุ่งเรือง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ในปี 54 คาดการณ์ว่า TUF จะมีกำไรสุทธิเติบโตจากปีก่อน 35% ได้รับผลดีจากการควบรวมกิจการกับ MWB ที่ทำให้การดำเนินงานและโครงสร้างต้นทุนบริษัทลดลง โดยคาดว่าปีนี้มาร์จิ้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 18-19% จากปีก่อนที่อยู่ 13-15% ขณะที่มองว่าระดับ P/E ปัจจัยที่ 11 เท่า ถือว่าอยู่ระดับต่ำเมื่อเทียบการทำกำไรในปีนี้ ดังนั้นมองว่าหุ้นยังราคาไม่แพงเมื่อเทียบกลุ่มอาหารอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 4/53 ผลประกอบการของบริษัทต่ำกว่าที่คาด โดยมีกำไร 224 ล้านบาท เป็นผลมาจากต้นทุนราคากุ้งและทูน่าที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่มีการรับออเดอร์ล่วงหน้า 6-9 เดือน ดังนั้น ในปีนี้บริษัทจึงได้แก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยมีการปรับราคาขายชดเชย รวมถึงการร่นระยะเวลาในการรับออเดอร์ล่วงหน้าให้สั้นลงเพื่อป้องกันความปันผวนของราคาวัตถุดิบ

ทั้งนี้ ไตรมาส 1/54 คาดว่าผลประกอบการของบริษัทยังไม่ดีนัก เนื่องจากยังมีค่าใช้จ่ายจากการซื้อกิจการ MWB อีก 100 ล้านบาท จากปีก่อนที่จ่ายไปแล้ว 300 ล้านบาท รวมทั้งต้นทุนสูงขึ้น โดยเฉพาะจากราคาน้ำมัน แต่คาดว่าบริษัทจะมีการปรับราคาสินค้าชดเชยได้ รวมถึงมีรายรับบางส่วนจาก MWB แล้ว คาดว่ากำไรน่าจะดีขึ้นเมื่อเทียบไตรมาส 4/53 แต่ยังไม่ดีเท่าช่วงไตรมาส 1/53

“ปัจจัยเสี่ยงของบริษัทขึ้นอยู่กับว่ามีการปรับราคาขายขึ้นชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้นได้หรือไม่ หรือหากดูเป็น normal business ต้องรอดูผล 12 เดือน แต่บริษัทยังมี MWB มาช่วยชดเชย" นายสิทธิเดช กล่าว

อย่างไรก็ตาม AYS อยู่ระหว่างทบทวนประมาณการ และมูลค่าพื้นฐานหลังการเข้ารับฟังข้อมูลผู้บริหาร โดยจะมีการปรับคำแนะนำเป็น“ซื้อ"ต่อไป

ด้าน บล.บัวหลวง วิเคราะห์ว่าผลประกอบการในปี 54 ของ TUF จะได้รับผลบวกจากการควบรวมกิจการกับ MWB เข้ามาเต็มปี โดยตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่ำ 30% จากการที่ผู้บริหารคาดว่ายอดขายในปี 54 ในรูปของสกุลเงินดอลลาร์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่ำ 30%(หรืออาจสูงถึง 40%)หรือคิดเป็น 3 พันล้านเหรียญ ได้รับอานิสงส์จากการควบรวมกิจการกับ MWB รวมถึงยอดขายที่สูงขึ้นในแต่ละประเภทผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะทูน่า

นอกจากนี้ อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิในปี 54 คาดว่าจะเพิ่มไปในทิศทางเดียวกันกับยอดขาย TUF ยังคงเป้าหมายยอดขายปีไว้ที่ 4 พันล้านเหรียญ ภายใต้ภาวะที่ราคาปลาทูน่ามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจาก อุปทานปลาที่ขาดหายไปจากภาวะอากาศที่ร้อนขึ้น และราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น เชื่อว่า TUF จะได้รับประโยชน์ในช่วงที่ราคาปลาเป็นขาขึ้นในแง่ที่สามารถปรับราคาขายเพิ่มสูงขึ้น อย่างน้อยในอีก 4 เดือนข้างหน้าก่อนที่จะถึงฤดูจับปลาอีกครั้งในช่วงกลางปี 54 และอุปทานปลาของ TUF ที่ยังคงเพิ่มขึ้น ซึ่งถือว่า TUF ได้รับประโยชน์จากการควบรวมกิจการกับ MWB

ยังคงคำแนะนำ“ซื้อ"TUF จากเหตุผลของกำไรสุทธิต่อหุ้นในปี 54 ที่ขยายตัวสูงถึง 33% และราคาหุ้น ณ ปัจจุบันที่ยังคงถูก คิดว่าราคาหุ้น TUF สมควรที่จะขึ้นไปซื้อขายที่ PER 15 เท่าเมื่อผลประโยชน์ร่วมที่ได้รับจากการควบรวมกิจการกับ MWB เริ่มชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 54 ราคาเป้าหมายปี 54 อยู่ที่ 65 บาทซึ่งประเมินโดยใช้ PER ที่ 15 เท่า

บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) ระบุว่า ผลการดำเนินงานปี 54 คาดว่าจะมียอดขายเพิ่มเป็น 2,939 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 30% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน การเพิ่มขึ้นของยอดขายที่มากจะมาจากการรวม MW เข้ามา แต่ได้ปรับลดอัตรากำไรลงจากเดิมจากแนวโน้มราคาวัตถุดิบที่ผันผวน ซึ่งกระทบกับการทำกำไรของบริษัท ขณะที่ดอกเบี้ยจ่ายคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 172% เทียบปีก่อน เนื่องจากหนี้เงินกู้ที่นำไปซื้อ MW และปรับลดประมาณการกำไรสุทธิเหลือเพียง 3,831 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 33% เทียบปีก่อน

ทั้งนี้ ผู้บริหารแจ้งว่าบริษัทได้ทยอยจัดการกับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการดำเนินธุรกิจ ในส่วนทูน่าได้มีการปรับขึ้นราคา ขายกับลูกค้า ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ไตรมาส 1/54 เป็นต้นไป ทั้งในอเมริกาและยุโรป ส่วนกุ้งนั้นเดิมบริษัทจะรับคำสั่งซื้อมากกว่า 6 เดือนขึ้นไป แต่คาดว่าในปีนี้จะรับคำสั่งซื้อที่สั้นลงประมาณ 3 เดือนเพื่อจะได้ปรับราคาขายได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม คาดว่าจะเห็นการปรับราคาขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/54 เป็นต้นไป

ส่วนการซื้อกิจการ MW ซึ่งส่งผลกระทบต่อมาตรฐานทางบัญชีทำให้ต้องมีการปรับปรุงบางรายการให้เป็นไปตามมาตรฐานดังกล่าว ทำให้ต้องบันทึกรายการพิเศษ 8.3 ล้านยูโรเข้าไปในต้นทุนขายและส่งผลให้อัตรากำไรของ MW ต่ำกว่าระดับปกติที่ราว 20% บริษัทได้บันทึกรายการดังกล่าวไปแล้ว 5.5 ล้านยูโร หรือเท่ากับ 220 ล้านบาท และจะมีการบันทึกส่วนที่เหลืออีก 2.8 ล้านยูโรในไตรมาส 1/54

จากการทยอยปรับราคาขายในสินค้าหลัก จึงคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานตั้งแต่ไตรมาส 1/54 เป็นต้นไป ณ ราคาปัจจุบันทางฝ่ายแนะนำ"ซื้อ"ปรับราคาเหมาะสมปี 54 เหลือเพียง 56.50 บาท อิงบน P/E 14 เท่า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ