SELIC มั่นใจแบรนด์แข็งแกร่ง-ฐานลูกค้าแน่นหนุนรายได้ปี 68 เข้าเป้า 2.4 พันลบ.แม้ Q1 หดตัว

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday June 4, 2025 14:55 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเก่ง สุวัฒนพิมพ์ Operation Director บมจ.ซีลิค คอร์พ [SELIC] กล่าวว่า บริษัทเดินหน้าผลักดันแผนรายได้ที่ตั้งไว้ 2.4 พันล้านบาทในปีนี้ ผ่านกิจกรรมการขายและการตลาดต่าง ๆ โดยมองว่าความไม่แน่นอนทางการค้าของสหรัฐจะเป็นโอกาสให้กับบริษัทในการขยายตลาดในประเทศและภูมิภาคใกล้เคียงที่ยังมีประสิทธิภาพอยู่พอตัว แต่ทั้งนี้ SELIC จะดำเนินงานอย่างระมัดระวัง และจะคอยติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด โดยถ้าหากมีเหตุการณ์เร่งด่วนอะไรที่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการประกอบธุรกิจ บริษัทฯ ก็จะปรับตัวตาม

นางสาวกนกกานต์ เพียรเสมอ Executive Assistant ของ SELIC กล่าวว่า สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1/68 บริษัทมีกำไรลดลง 27% มาอยู่ที่ 50.1 ล้านบาท จากไตรมาส 1/67 เคยทำได้ 67.7 ล้านบาท เป็นผลจากกลยุทธ์การตลาดเชิงรุกที่ทำให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น โดยเฉพาะในฝั่งธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ แต่บริษัทมองว่ากำไรที่ลดลงเป็นผลกระทบระยะสั้น เพื่อสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์และฐานลูกค้า ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนให้ SELIC เติบโตต่อไป โดยคาดว่าจะสามารถเห็นผลได้เร็วสุดในระยะกลาง-ยาว

ในส่วนของรายได้ นายเก่ง กล่าวว่า ในไตรมาส 1/68 บริษัทฯ สามารถทำไปได้ 556.36 ล้านบาท ลดลง 0.9% จากไตรมาสเดียวกันเมื่อปีก่อน นำโดยธุรกิจสติ๊กเกอร์หรือฉลากที่มีกาวในตัวที่คิดเป็น 38% ของรายได้ทั้งหมด ทำรายได้ 220.8 ล้านบาท ตามมาด้วยธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่ 36% หรือ 199 ล้านบาท และกาวอุตสาหกรรมที่ 26% หรือ 146.6 ล้านบาท ขณะที่โครงสร้างรายได้ตามภูมิภาค SELIC มีสัดส่วนการขายและบริการตลาดในประเทศ 73% และตลาดต่างประเทศ 27%

ด้านกลุ่มธุรกิจสติ๊กเกอร์เติบโตขึ้น 0.2% จากไตรมาสเดียวกันเมื่อปีก่อน มีปัจจัยกดดันหลักจากการขายในต่างประเทศที่หดตัวลง 13.4% จากไตรมาส 1/67 และ 12.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากการแข่งขันทางการค้าสูงขึ้น ทั้งในด้านราคาและผู้ขายในตลาดที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น

กลุ่มกาวอุตสาหกรรมโตขึ้น 3.4% จากปีก่อน แต่ลดลง 3.8% จากไตรมาส 4/67 มีปัจจัยกดดันหลักจากการขายนอกประเทศที่หดตัวลงจากปีก่อนเช่นกัน ในอัตรา 8.1% มีสาเหตุหลัก ๆ จากลูกค้าหลายเจ้าในทวีปแอฟริกามีกำลังซื้อลดลง จากกรณีค่าเงินในประเทศของเขาที่อ่อนตัวลง ในขณะที่การขายในประเทศมาเป็นปัจจัยช่วยหนุนการเติบโต หลังเพิ่มขึ้นถึง 14.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน

และกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่โตขึ้น 0.7% จากปีก่อน แต่ลดลง 3.2% จากไตรมาสก่อน โดยมีปัจจัยกดดันจากยอดขายในส่วนของนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงไป ซึ่งสินค้าบรรเทาอาการปวดยังคงสัดส่วนสินค้าที่ทำรายได้มากที่สุดอยู่ที่ 74% ตามมาด้วยสินค้าปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ 26%

นายเก่ง กล่าวว่า แนวโน้มการดำเนินการกลุ่มธุรกิจหลักทั้ง 3 จะมีหน้า high season ใกล้เคียงกันคือ จะเริ่มต้นตั้งในช่วงปลายปี ประมาณเดือนพ.ย. ไปถึงต้นปี ซึ่งอาจจะต่อเนื่องไปถึงช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยในไตรมาส 2/68 ธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากหน้าฝน เพราะจำนวนคนที่ออกไปเล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมภายนอกบ้านจะน้อยลงตามฤดูกาล


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ