บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) [DELTA] ชี้แจงผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/68 (เม.ย. มิ.ย.) ว่ากำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสนี้ มีจำนวน 5,098 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไร 11.5% ลดลงจาก 13.9% ของงวดเดียวกันในปีก่อน และ 13.3% ในไตรมาสที่แล้ว เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายด้านอากรและการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สูญ รวมถึงการลงทุนวิจัยพัฒนาที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้มีการบันทึกรายได้อื่น ๆ เพิ่มเติม ร่วมกับการรับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ค่าใช้จ่ายในการยุติข้อพิพาทด้านสิทธิบัตร และภาษีส่วนเพิ่มตามกฎ OECD ส่งผลให้กำไรสุทธิในไตรมาสนี้เท่ากับ 4,629 ล้านบาท ลดลงจากปีที่แล้ว 29.5% คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 10.4% และมีกาไรสุทธิต่อหุ้นอยู่ที่ 0.37 บาท เทียบกับ 0.53 บาทต่อหุ้นในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
บริษัทระบุว่ากำไรขั้นต้นในไตรมาสนี้มีจำนวน 11,109 ล้านบาท ปรับตัวลงเล็กน้อย 1.0 %จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1.7% จากไตรมาสที่แล้ว สอดคล้องกับการเติบโตของกลุ่มธุรกิจพาวเวอร์อิเล็คทรอนิกส์ และกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักต่าง ๆ ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสที่แล้ว แต่หดตัวพอสมควรเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทแข็งค่าขึ้นมากในปีนี้ ประกอบกับช่วงปีที่แล้วมีการกลับรายการตั้งสำรองสินค้าคงคลังในปริมาณมากซึ่งส่งผลดีต่ออัตรากาไรขั้นต้น ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงดำเนินกลยุทธ์การผลักดันยอดขายพร้อมจัดการควบคุมสินค้าคงคลังในระดับที่เหมาะสมตามสภาวะอุตสาหกรรม
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (รวมการวิจัยและพัฒนา) มีจำนวน 6,011 ล้านบาท ปรับตัวสูงขึ้น 11.3% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากค่าใช้จ่ายด้านการขายในส่วนภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้นเพราะตลาดสหรัฐเริ่มประกาศใช้นโยบายภาษีตอบโต้แบบเท่าเทียมในไตรมาสนี้ ส่งผลให้บริษัทฯ เกิดค่าใช้จ่ายอากรเพื่อส่งออกสินค้าภายใต้ข้อตกลงร่วมกันในการเรียกเก็บคืนจากลูกค้าตามเงื่อนไขที่กำหนด
นอกจากนี้ บริษัทพบว่ามีลูกค้าในกลุ่มพัดลมและระบบระบายความร้อนสำหรับยานยนต์ เกิดอุปสรรคทางธุรกิจและอยู่ในกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้พร้อมฟื้นฟูกิจการ ส่งผลให้บริษัทมีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สูญเพื่อสะท้อนความเสี่ยงดังกล่าว ด้านค่าใช้จ่ายในการวิจัยพัฒนาไตรมาสนี้ปรับตัวสูงขึ้นสอดคล้องกับกลยุทธ์การขยายขีดความสามารถด้านนวัตกรรมในภูมิภาคเพื่อรองรับลูกค้าระดับโลก
แม้ว่ายอดขายสินค้าและบริการในไตรมาสนี้อยู่ที่ 44,490 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.5% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนและเติบโตร้ 4.1% จากไตรมาสที่แล้ว ขับเคลื่อนโดยกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักที่มีการขยายตัวสูง ทั้งเพาเวอร์อิเล็กทรอนิกส์และโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ ภายใต้แนวโน้มการลงทุนที่เร่งตัวขึ้นเพื่อรองรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งต้องการโซลูชั่นกำลังไฟฟ้าและการระบายความร้อนทรงประสิทธิภาพในการประมวลผลสมรรถนะสูงสำหรับโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์และคลาวด์เซอร์วิส รวมถึงโซลูชั่นเครือข่าย ภาพรวมตลาดยังคงมีศักยภาพการเติบโตสูงในปีนี้
ขณะเดียวกันกลุ่มผลิตภัณฑ์ระบบอัตโนมัติสำหรับอุตสาหกรรม มียอดขายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เช่นเดียวกับโซลูชั่นโครงสร้างพื้นฐานพลังงานและการชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าเติบโตได้ในระดับปานกลาง ส่วนโซลูชั่นระบบพลังงานโทรคมนาคมฟื้นตัวอย่างจำกัด
ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์อีวีพาว์เวอร์มียอดขายปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน แต่ยังชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับฐานสูงในปีที่แล้ว สืบเนื่องจากสภาวะตลาดยานยนต์ไฟฟ้าโลกที่ผันผวนและอ่อนตัวโดยเฉพาะในตลาดสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลก ล้วนเผชิญกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่เกิดจากปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ สงครามภาษีและการตอบโต้ทางการค้า ทำให้ประมาณการเศรษฐกิจโลกในปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวในอัตราลดลงทั่วทุกภูมิภาค อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงมีความพร้อมเชิงกลยุทธ์ในการรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ พร้อมตอบโจทย์ทิศทางความต้องการเชิงโครงสร้างในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ