
บมจ.สเตคอน กรุ๊ป [STECON] เปิดเผยว่า บริษัท สเตคเอ็กซ์ เวนเจอร์ส จำกัด (STECX) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 99.99 ได้เข้าซื้อเงินลงทุนในบริษัท เวอร์ติคอล พระราม 9 อัลไลแอนซ์ 1 จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ [NOBLE] โดยมีทุนจดทะเบียนและชำระแล้ว 10 ล้านบาท (100,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท สินทรัพย์รวม 3,486.8 ล้านบาท ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2568 ลักษณะธุรกิจของบริษัทที่เข้าซื้อ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียม

โครงสร้างการถือหุ้น STECX 50% และ NOBLE 50% มูลค่ารวมของสิ่งตอบแทนที่ชำระให้แก่ NOBLE 610 ล้านบาท ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. เพิ่มฐานลูกค้าภาคเอกชน ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้และส่งเสริมการสร้างอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจก่อสร้างตามเป้าหมายที่วางไว้ 2. ขยายประเภทลูกค้าของธุรกิจก่อสร้าง ซึ่งช่วยเปิดโอกาสให้บริษัทสามารถเข้ารับงานจากลูกค้ารายใหม่ ๆ ในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติมได้ 3. อัตราผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน
นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม NOBLE เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2568 มีมติอนุมัติให้จำหน่ายหุ้นสามัญที่ถืออยู่ใน บริษัท เวอร์ติคอล พระราม 9 อัลไลแอนซ์ 1 จำกัด ผู้พัฒนาโครงการ นิว เอปิค อโศก-พระราม 9 (NUE EPIC ASOK - RAMA 9) มูลค่าโครงการกว่า 14,000 ล้านบาท ให้แก่ STECX คิดเป็นสัดส่วน 50%
การร่วมทุน STECON ผ่านทาง STECX ถือเป็นก้าวสำคัญของ NOBLE ในการสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระยะยาว เพื่อให้เป็นไปตามแผนการเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนและบริหารความเสี่ยงในการดำเนินการของบริษัทฯ ภายใต้กลยุทธ์การหาพันธมิตรทางธุรกิจที่เกื้อหนุนให้โครงการประสบความสำเร็จมาเป็นหุ้นส่วนสำคัญ การร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงช่วยผลักดันให้โครงการประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย แต่ยังสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการอย่างมีนัยสำคัญ
โครงการ นิว เอปิค อโศก-พระราม 9 เป็นคอนโดมิเนียม High Rise จำนวน 4 อาคาร 3,116 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 14,000 ล้านบาท ถือเป็นหนึ่งในโครงการที่เปิดตัวด้วยมูลค่าสูงสุดในปี 67 บนพื้นที่กว่า 15 ไร่ ใจกลาง CBD ใกล้สถานีรถไฟฟ้า MRT ศูนย์การค้าเซ็นทรัลและแยกพระราม 9 ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองและทุกการเดินทาง โครงการยังมาพร้อมกับอาคาร Pet Friendly โดยเฉพาะอีก 1 อาคาร ได้ผลตอบรับเป็นอย่างดีตั้งแต่ช่วงเปิด Pre-Sales ปัจจุบันมียอดขายแล้วประมาณ 60% คิดเป็น Backlog ที่ประมาณ 8,300 ล้านบาท
ด้าน นายภาคภูมิ ศรีชำนิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มและกรรมการผู้จัดการใหญ่ STECON เปิดเผยว่า การลงทุนในครั้งนี้ บริษัทเล็งเห็นถึงโอกาสและความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย สอดคล้องกับกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทฯ ประกอบกับที่ตั้งของโครงการอยู่บนทำเลศักยภาพใจกลางเมืองที่เดินทางสะดวก และเป็นที่นิยมของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ อีกทั้งยังเป็นโครงการที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่มูลค่ากว่า 14,000 ล้านบาทที่ประสบความสำเร็จในการขายเป็นอย่างมาก ซึ่งจะเห็นได้จากการตอบรับที่ดีตั้งแต่ช่วงเปิดขายและมี Backlog รอโอนสูง
การเข้าร่วมทุนในครั้งนี้มีผลเชิงบวกต่อทั้งสองฝ่าย โดยในมุมของ NOBLE จะช่วยให้บริษัทฯ รับรู้รายได้จากการขายเงินลงทุนเข้ามาในผลประกอบการไตรมาส 3/68 และส่งผลให้ฐานะทางการเงินของบริษัทฯ มีความแข็งแกร่งและมั่นคงยิ่งขึ้น โดยบริษัทฯ คาดว่าจะมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งยังเป็นการต่อยอดโมเดล Asset Light เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารและเพิ่มโอกาสในการหมุนเวียนเงินทุนเพื่อไปลงทุนโครงการในอนาคต สะท้อนความมุ่งมั่นของ NOBLE ในการยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
โดยในมุมของ STECON การเข้าร่วมลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสขยายการลงทุนของบริษัทสู่ธุรกิจใหม่เพื่อสนับสนุนธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและสามารถเพิ่มมูลค่า Backlog จากงานก่อสร้างของโครงการมูลค่ากว่า 4,400 ล้านบาทได้ในทันที โดยโครงการอสังหาริมทรัพย์สำหรับที่อยู่อาศัยยังเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การขยายตลาดและกลุ่มลูกค้าพันธมิตรที่สำคัญของ STECON ในการต่อยอดธุรกิจรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ และทั้งสองฝ่ายยังคาดหวังว่าจะสามารถสร้างโอกาสในความร่วมมือไปยังโครงการอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
STECON ยังแจ้งว่า บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้ลงนามสัญญาก่อสร้างโครงการ นิว เอปิค อโศก-พระราม 9 (New Epic Asoke-Rama 9) มูลค่าโครงการ 4,400 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เป็นงานก่อสร้างอาคารคอนโดมิเนียม 1 อาคาร ประกอบด้วย 4 ทาวเวอร์ (ทาวเวอร์เอ สูง 47 ชั้น, ทาวเวอร์บี สูง 47 ชั้น, ทาวเวอร์ซี สูง 34 ชั้น และ ทาวเวอร์ดี สูง 32 ชั้น) รวมถึงส่วนประกอบอื่น ๆ ระยะเวลาการก่อสร้าง 31 เดือน นับถัดจากวันที่ได้รับหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน
การลงนามสัญญาครั้งนี้ถือเป็นการเพิ่มฐานลูกค้าภาคเอกชน ซึ่งช่วยขยายประเภทลูกค้าของธุรกิจก่อสร้างและเปิดโอกาสให้บริษัทสามารถเข้ารับงานจากกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้มากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทฯ