ตลท.รับหุ้น " เอส พี วี ไอ"เข้าซื้อขายในตลาด mai 19 ธ.ค.ชื่อย่อ"SPVI"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 18, 2013 18:05 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.เอส พี วี ไอ (SPVI) ตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้า Apple เป็นบริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่ในตลาดหลักทรัพย์ mai ลำดับที่ 14 ของปี ด้วย market capitalization 360 ล้านบาท เริ่มซื้อขาย 19 ธันวาคมนี้

นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บมจ. เอส พี วี ไอ (SPVI) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในวันที่ 19 ธันวาคม 2556 โดย SPVI เป็นบริษัทในเครือของ บมจ. เอสวีโอเอ (SVOA) และบมจ.ไอทีซิตี้ (IT) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนใน SET ที่เล็งเห็นความสำคัญของตลาดทุนในการสานโอกาสให้กับธุรกิจ จึงนำ SPVI เข้าจดทะเบียน (Spin off) เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน

SPVI ดำเนินธุรกิจเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้า Apple และอุปกรณ์เสริมต่างๆ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าอื่นๆ ปัจจุบันมี 17 สาขา มีจุดจำหน่ายสินค้า Apple ใน IT City และ Big C 54 แห่ง และมีศูนย์บริการ Smart Bar 3 สาขา รวมทั้งมีศูนย์ฝึกอบรมตามมาตรฐาน Apple ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็น Authorized Apple Training Center แห่งเดียวในประเทศไทย

SPVI มีทุนชำระแล้ว 200 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 290 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 110 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) 104.5 ล้านหุ้น และกรรมการและพนักงานของบริษัท 5.5 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 11 -13 ธันวาคม 2556 ในราคาหุ้นละ 0.9 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนรวม 99 ล้านบาท มี บล.ฟินันเซีย ไซรัส เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

นายไตรสรณ์ วรญาณโกศล กรรมการผู้จัดการ SPVI เปิดเผยว่า รู้สึกเป็นเกียรติและมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่บริษัทได้เข้าระดมทุนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ ไปเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสำหรับการขายปลีกและศูนย์บริการ รวมทั้งปรับปรุงพัฒนาระบบสารสนเทศ ระบบเครือข่าย เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทฯในอนาคต

SPVI มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 รายแรกหลัง IPO ได้แก่ IT ถือหุ้น 29.00% กลุ่มวรญาณโกศล ถือหุ้น 24.12% นางสาวพัชรา เกียรตินันทวิมล ถือหุ้น 2.90% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้นของบริษัท (P/E Ratio) ที่ 14.02 เท่า โดยคำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลกำไรสุทธิในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา (1 ตุลาคม 2555 – 30 กันยายน 2556) หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (Fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.06 บาท บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิภายหลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคล


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ