บมจ.พรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL) เผยผลการดำเนินงานปี 60 ขาดทุนสุทธิ 129.48 ล้านบาท ลดลงจากระดับขาดทุนสุทธิ 2.66 พันล้านบาทในปี 59 หลังรายได้จากการเดินเรือเพิ่มขึ้น ตามตลาดอัตราค่าระวางเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองที่ฟื้นตัว ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการเดินเรือลดลง ตามการซ่อมแซมและสำรวจเรือลดลง อีกทั้งยังไม่มีการบันทึกขาดทุนจากการขายเรือเก่าและการด้อยค่าของเรือจำนวนมากเหมือนในปี 59 ด้วย
PSL ระบุว่ารายได้จากการเดินเรือสุทธิ (รายได้จากการเดินเรือสุทธิจากรายจ่ายท่าเรือและน้ำมันเชื้อเพลิง) ของปี 60 เพิ่มขึ้นจากปี 59 ประมาณร้อยละ 25 แม้ว่ารายได้มาจากจำนวนเรือเฉลี่ยประมาณ 36 ลำในปี 60 เมื่อเทียบกับจำนวนเรือเฉลี่ยประมาณ 40 ลำในช่วงเวลาเดียวกันของปี 59 โดยสาเหตุหลักเนื่องมาจากรายได้เฉลี่ยต่อวันต่อลำเรือเพิ่มขึ้นจาก 6,476 เหรียญสหรัฐในปี 59 เป็น 9,486 เหรียญสหรัฐในปี 60 ซึ่งเป็นผลมาจากตลาดอัตราค่าระวางเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองที่ตกต่ำมาเป็นเวลานานได้ฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 ธ.ค.60 กองเรือของบริษัทฯ มีจำนวน 36 ลำ
สำหรับปี 60 ค่าใช้จ่ายในการเดินเรือลดลงร้อยละ 17 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 59 สาเหตุส่วนใหญ่เนื่องมาจากจำนวนเรือที่ลดลง ค่าใช้จ่ายในการเดินเรือเฉลี่ยต่อวันต่อลำเรือ (OPEX) (รวมค่าเสื่อม/ค่าใช้จ่ายตัดบัญชีสำหรับค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมและสำรวจเรือ) ลดลงจาก 4,503 เหรียญสหรัฐในปี 59 เป็น 4,355 เหรียญสหรัฐในปี 60 สาเหตุหลักเนื่องมาจากค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมและสำรวจเรือลดลง อันเป็นผลมาจากการการขายเรือเก่าในปี 59
ค่าเสื่อมราคาสำหรับปี 60 ลดลงจำนวน 196.55 ล้านบาทเมื่อเทียบกับปี 59 เนื่องจากจำนวนเรือที่ลดลง นอกจากนี้ในปี 59 บริษัทฯได้บันทึกขาดทุนจากการขายเรือเก่าและขาดทุนจากการด้อยค่าของเรือจำนวนรวม 1,246.84 ล้านบาท ในปี 59 ขณะที่ไม่มีการบันทึกขาดทุนดังกล่าวในปี 60 อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้บันทึกกำไรจากการขายเรือและอุปกรณ์จำนวน 32.15 ล้านบาทในปี 60
บริษัทฯได้บันทึกดอกเบี้ยจ่ายสินเชื่อธุรกิจไม่มีหลักประกันและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ภายใต้สัญญาระงับข้อพิพาทจำนวนรวม 112.51 ล้านบาท เนื่องมาจากคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่เกี่ยวกับข้อพิพาทกับอู่ต่อเรือ Sanfu ในปี 60 และในปี 60 ค่าใช้จ่ายทางการเงินสูงขึ้น 50.41 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงเวลาเดียวกันของปี 59 (ไม่รวมการตัดจ่ายเพียงครั้งเดียวจำนวน 182.25 ล้านบาท ในปี 59) สาเหตุหลักเนื่องมาจากดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากหุ้นกู้