(เพิ่มเติม) ECF ส่งบ.ย่อยลงทุนรง.ผลิตแผ่นไม้เอ็มดีเอฟ ในจ.นราธิวาส มูลค่า 1.46 พันลบ. คาดแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 62

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday June 28, 2018 11:49 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค (ECF) แจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวานนี้ (27 มิ.ย.) อนุมัติให้บริษัท แพลนเนทบอร์ด จำกัด (แพลนเนท) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้นอยู่ 57% ลงทุนสร้างโรงงานผลิตและจำหน่ายแผ่นไฟเบอร์บอร์ดความหนาแน่นปานกลาง (Medium Density Fiber Board) หรือแผ่นไม้เอ็มดีเอฟ (MDF Board) ที่จังหวัดนราธิวาส โดยคาดว่าแพลนเนทจะดำเนินการลงนามในสัญญาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและชำระราคาค่าสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้แก่คู่สัญญาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องภายในไตรมาสที่ 4/62 โดยแพลนเนทจะใช้เงินลงทุนในโครงการเบื้องต้นจำนวนทั้งสิ้น 1,456.31 ล้านบาท

สำหรับคู่สัญญาที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สัญญาซื้อขายที่ดิน ซึ่งปัจจุบันแพลนเนท อยู่ระหว่างการเจรจาร่างสัญญาซื้อขายที่ดินซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าไม่เกิน 33 ล้านบาท ,สัญญาก่อสร้างโรงงาน โกดังสินค้า และอาคารสำนักงาน อยู่ระหว่างการคัดเลือกผู้รับจ้าง มีมูลค่าก่อสร้างไม่เกิน 209.46 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในไตรมาส 2/62 ,สัญญาซื้อเครื่องจักรสายการผลิตและอุปกรณ์โรงงาน มูลค่าไม่เกิน 960.51 ล้านบาท คาดว่าการลงนามสัญญาซื้อขายเครื่องจักร จะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2/61 และการติดตั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์ คาดจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/62

ทั้งนี้ บริษัทเห็นว่าปัจจุบันแผ่นไม้เอ็มดีเอฟ ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในการนำมาผลิตเฟอร์นิเจอร์ และเครื่องตกแต่งประเภทต่าง ๆ เนื่องจากมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับไม้จริงและมีราคาที่ไม่สูงนักเมื่อเทียบกับไม้จริงหรือแผ่นไม้อัด (Plywood) รวมทั้งยังไม่มีสินค้าทดแทน (Substituted Products) ในการผลิตเฟอร์นิเจอร์ได้ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ปริมาณการใช้แผ่นไม้เอ็มดีเอฟ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมก่อสร้างที่พักอาศัยและผลิตเฟอร์นิเจอร์ ยังมีส่วนสำคัญที่ทำให้แนวโน้มของปริมาณการใช้แผ่นไม้เอ็มดีเอฟเพิ่มสูงขึ้น

ปริมาณวัตถุดิบไม้ โดยเฉพาะไม้ยางพาราในประเทศไทยมีปริมาณมากและมีพื้นที่ที่พร้อมโค่นสวนยางพาราเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบไม้เพื่อผลิตแผ่นไม้เอ็มดีเอฟค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งอื่นๆ โดยสถานที่ตั้งโรงงานผลิตแผ่นไม้เอ็มดีเอฟ ของแพลนเนทนั้น จะตั้งอยู่ที่อำเภอยี่งอ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งใกล้กับแหล่งวัตถุดิบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งบริเวณดังกล่าวมีพื้นที่สวนยางรวมกันเป็นจำนวนมาก ทำให้มีไม้ยางพาราที่เพียงพอต่อการผลิตแผ่นไม้เอ็มดีเอฟอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น บริษัทจึงมีแนวคิดที่จะขยายขอบเขตของการดำเนินธุรกิจเพิ่มเติมจากธุรกิจผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท โดยต่อยอดธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง กล่าวคือ ธุรกิจการผลิตแผ่นไม้เอ็มดีเอฟ ซึ่งเป็นการลงทุนผ่านแพลนเนท และจะเป็นธุรกิจที่สนับสนุนธุรกิจหลักของบริษัท รวมทั้งทำให้ธุรกิจของบริษัทครบวงจรยิ่งขึ้น เพิ่มศักยภาพและผลกำไรของบริษัท รวมถึงการเติบโตในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง

สำหรับโรงงานผลิตและจำหน่ายแผ่นไม้เอ็มดีเอฟ มีกำลังการผลิต 652 ลูกบาศก์เมตร/วัน หรือ 195,600 ลูกบาศก์เมตร/ปี คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 62 โดยบริษัทสามารถรับรู้กำไรตามสัดส่วนที่ถือหุ้น 57% ซึ่งเป็นการเสริมกำไรให้กับบริษัทให้แข็งแกร่งขึ้น สามารถสร้างกระแสเงินสดสม่ำเสมอในระยะยาวให้แก่บริษัท และเป็นการเพิ่มความสามารถในการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น

ส่วนแหล่งเงินลงทุนโครงการนั้น จะมาจากเงินค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้นของแพลนเนท จำนวน 633.13 ล้านบาท และเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน 823.18 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันแพลนเนทอยู่ระหว่างการเจรจาเงื่อนไขการกู้ยืมเบื้องต้น (Indicative Term Sheet) จากสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง ประกอบด้วยวงเงินสินเชื่อกู้ยืมระยะสั้นประเภท Letter of credit (L/C) และ Trust Receipt (T/R) และวงเงินสินเชื่อกู้ยืมระยะยาว ในวงเงินกู้รวมไม่เกิน 823.18 ล้านบาท

นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ ของ ECF กล่าวว่า คณะกรรมการบริษัทพิจารณาและมีความเห็นว่าการเข้าทำรายการในครั้งนี้ อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม เป็นการเพิ่มศักยภาพและผลกำไรของบริษัท สร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว เนื่องจากเป็นการได้มาซึ่งธุรกิจที่สนับสนุนหรือเป็นต้นน้ำของธุรกิจหลัก คือ การผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ ทำให้ธุรกิจของบริษัทมีความครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และจากผลการศึกษาความเป็นไปได้พบว่า เป็นโครงการที่ให้ผลตอบแทนในการลงทุนที่ดี โดยมีอัตราผลตอบแทนของโครงการ (Project IRR) ไม่ต่ำกว่า 10.43% ต่อปี และมีระยะเวลาการคืนทุน (Payback Period) ไม่เกินกว่า 10 ปี และผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Equity IRR) ไม่ต่ำกว่า 11.66% ต่อปี และมีระยะเวลาการคืนทุน (Payback Period) ไม่เกินกว่า 11 ปี บนข้อสมมติฐานตามหลักความระมัดระวัง

"ปัจจุบันแผ่นไม้เอ็มดีเอฟได้รับความนิยมอย่างมากในการนำมาผลิตเฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งประเภทต่างๆ เนื่องจากมีคุณสมบัติใกล้เคียงไม้จริง และมีราคาที่ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับไม้จริงหรือแผ่นไม้อัด รวมทั้งยังไม่มีสินค้าทดแทนในการผลิตเฟอร์นิเจอร์ได้ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ปริมาณการใช้แผ่นไม้เอ็มดีเอฟเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมก่อสร้างที่พักอาศัยและผลิตเฟอร์นิเจอร์ ยังมีส่วนสำคัญที่ทำให้แนวโน้มปริมาณการใช้แผ่นไม้เอ็มดีเอฟเพิ่มสูงขึ้น การลงทุนของบริษัทในครั้งนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีทางธุรกิจ ช่วยเสริมสร้างจุดแข็งในการดำเนินงาน และการเติบโตอย่างยั่งยืนตามเป้าหมายที่วางไว้"นายอารักษ์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ