ส่องอนาคต"EFORL"ใต้ปีก"วิชัย ทองแตง"ปรับโมเดลธุรกิจพื้น"วุฒิศักดิ์ คลีนิก"จากจุดดำดิ่ง

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday June 11, 2019 13:18 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ถ้าย้อนไป 4-5 ปีที่ผ่านมาหุ้น EFORL หรือ บมจ.อี ฟอร์ แอล เอ็ม เคยติดอันดับ"หุ้นดาวรุ่ง"ภายหลังจากในปี 57 ประกาศปิดดีลซื้อหุ้นบริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์ กรุ๊ป (WCIG) เจ้าของสถานบริการความงามภายใต้แบรนด์"วุฒิศักดิ์ คลินิก"มูลค่า 3,500 ล้านบาท ทำให้นักลงทุนแห่เข้าไปเก็งกำไรหุ้นตัวนี้กันพักใหญ่ เพราะคาดหวังว่า EFORL จะมีกำไรเติบโตโดดเด่นในอนาคต

สุดท้ายความผิดหวังก็เกิดขึ้น เพราะกิจการของ "วุฒิศักดิ์ คลินิก" กลับไม่ได้เติบโตอย่างคาด โดยผลงานพลิกกลับมาขาดทุน ทำให้ EFORL มีผลประกอบการย่ำแย่ขาดทุนสุทธิตั้งแต่ปี 59 จนมาถึงปัจจุบัน และมีขาดทุนสะสมอยู่ประมาณ 1,800 ล้านบาท ล่าสุดทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จัดให้ EFORL ติดหนึ่งในหุ้นที่ถูกขึ้นเครื่องหมาย "C" (Caution) เตือนผู้ลงทุนให้ระมัดระวังการลงทุนในกลุ่มบริษัทที่มีความเสี่ยงทั้งด้านฐานะการเงินหรืองบการเงินหรือการประกอบธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนรายนั้น

ปัญหาหลักที่กระทบกับ EFORL คือ วุฒิศักดิ์ คลินิก ออกตั๋วแลกเงิน (B/E) หลายฉบับวงเงินหลายร้อยล้านบาท และเกิดการผิดนัดชำระหนี้ ทำให้บริษัทขาดสภาพคล่องจนต้องตามมาด้วยการเพิ่มทุนหลายครั้ง

การเพิ่มทุนครั้งล่าสุดมีพัฒนาการอย่างมีนัยสำคัญให้กับ EFORL เนื่องจากมีการเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ คณะกรรมการ EFORL อนุมัติจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนให้กับบุคคลในวงจำกัดในราคาหุ้นละ 4 สตางค์ รวมเงินระดมทุน 644 ล้านบาท ประกอบด้วยผู้ลงทุน 5 ราย แต่รายชื่อที่น่าสนใจคือการเข้ามาของนายวิชัย ทองแตง ที่ได้รับจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนสูงสุดจำนวน 7,308.28 ล้านหุ้น ส่งผลให้นายวิชัย กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน EFORL สัดส่วน 22.68% ของทุนจดทะเบียน มีอำนาจเข้ามาบริหารได้อย่างเต็มที่

อย่างไรก็ตาม กลุ่มนายวิชัยถูกกำหนดเงื่อนไขว่าจะต้องไม่ขายหุ้นออกในระยะเวลา 1 ปี นับจากวันที่ได้รับการจัดสรรหุ้น เพื่อสร้างหลักประกันความมั่นใจให้นักลงทุน

"วิชัย ทองแตง" กุมบังเหียน EFORL ดึงมืออาชีพบริหาร-ปรับโมเดลธุรกิจ

นายปรีชา นันท์นฤมิต ประธานกรรมการ EFORL ให้สัมภาษณ์กับ"อินโฟเควสท์"ว่า ปัจจุบันนายวิชัย ทองแตง เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และยังเป็นแกนหลักในการเข้ามาร่วมบริหารกิจการด้วย โดยมุ่งเน้นไปที่กิจการด้านความงามที่อยู่ภายใต้แบรนด์ "วุฒิศักดิ์ คลินิก" มีนโยบายต้องการให้ธุรกิจด้านความงามกลับมา "เทิร์นอะราวด์" ได้อีกครั้ง ที่ผ่านมาประสานดึงมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาบริหาร เพื่อต่อยอดขยายสาขารูปแบบแฟรนไชส์วุฒิศักดิ์ คลินิก ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงแผนขยายผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ควบคู่ไปกับพัฒนาแพลตฟอร์มจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เป็นต้น

"วันนี้บริษัทปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นจากการเพิ่มทุนรอบล่าสุด ทำให้คุณวิชัย ทองแตง ขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ปัจจุบัน EFORL ถือหุ้นใน WCIG สัดส่วน 51% เป็นกิจการในแบรนด์ "วุฒิศักดิ์ คลินิก" ซึ่งเป็นกิจการที่ขาดทุนมาตลอดหลายปี เพราะกฎหมายใหม่ออกมาควบคุมการทำการตลาดของคลินิกความงาม ดูแลไม่ให้โฆษณา สวย ใส ปิ้ง ได้โดยตรง

ประกอบกับเศรษฐกิจชะลอตัว,แพทย์บางส่วนออกมาทำธุรกิจเอง มีคู่แข่งเข้ามาเพิ่มขึ้น ทำให้รายได้ "วุฒิศักดิ์ คลินิก" ลดลงต่อเนื่องจนมาถึงจุดขาดทุน แต่ธุรกิจหลัก EFORL ที่ขายอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ ยังมีกำไรปกติ ซึ่งคุณวิชัย ทองแตง ก็มองว่าถ้าทำให้ธุรกิจด้านความงามกลับมาเทินร์นอะราวด์ได้ จะช่วยให้ผลประกอบการโดยรวมของ EFORL พลิกกลับมามีกำไรและสามารถเติบโตได้อีกครั้ง"

*ลุ้นปี 63 พลิกกำไร รุกขยายฐาน CLMV

นายปรีชา กล่าวว่า จากการปรับโครงสร้างหนี้และธุรกิจมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ทำให้มีความมั่นใจว่าผลประกอบการ EFORL ในปี 63 จะพลิกกลับมามีกำไร เนื่องจากธุรกิจด้านความงามจะกลับมาเติบโตได้ คาดหวังว่าในปีนี้จะเข้าสู่จุดคุ้มทุนได้สำเร็จ ภายใต้แผนการดำเนินงานที่วางไว้ ประกอบด้วย แนวทางการเพิ่มสาขา"วุฒิศักดิ์ คลินิก"ในจุดที่มีศักยภาพ โดยปัจจุบันบริษัทเป็นเจ้าของ 16 สาขาต้องการเพิ่มเป็น 19 สาขาในสิ้นปีนี้ และออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ปัจจุบัน"วุฒิศักดิ์" มีสินค้าอยู่ 2 กลุ่ม ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ของ Wuttisak และ Snail8

นอกจากนี้ อยู่ระหว่างพัฒนาผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ Wuttisak Cosmetic เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และกลับไปขยายการลงทุนประเทศในกลุ่ม CLMV คาดว่าจะเห็นเป็นรูปธรรมภายในครึ่งหลังของปีนี้ จากที่เคยมีสาขาอยู่ 11 สาขาในกลุ่มประเทศ CLMV

"ปัจจุบันงบเฉพาะกิจการไม่ได้มีปัญหา แต่มีปัญหาแค่ธุรกิจความงามภายในธุรกิจวุฒิศักดิ์ คลินิกที่ยังขาดทุน ในปีที่ผ่านมาบริษัทแม่งบเดี่ยวเฉพาะกิจการ กำไร 175 ล้านบาท แต่เมื่อรวมกับตั้งสำรองธุรกิจวุฒิศักดิ์ คลินิก 505 ล้านบาท ทำให้บริษัทแม่เกิดผลขาดทุน แต่มั่นใจว่าธุรกิจความงามจะกลับมาเข้าสู่จุดคุ้มทุนภายในปีนี้ ทำให้คาดหวังว่าในปี 63 ผลประกอบการจะพลิกเป็นบวก โดยตั้งเป้าใน 2-3 ปีธุรกิจด้านความงามภายใต้แบรนด์"วุฒิศักดิ์ คลินิก"จะกลับมาเป็นเบอร์หนึ่งใหม่อีกครั้ง และธุรกิจเครื่องมือแพทย์ต้องขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งเช่นกัน โดยมียอดขายแตะ 3 พันล้านบาท จากปัจจุบันทำได้กว่า 2 พันล้านบาท"

*เคลียร์ปมหนี้ตั๋ว B/E คาดจบใน 4 ปี

ปัจจุบัน EFORL มีหนี้สินรวมทั้งหมด 2,800 ล้านบาท ในส่วนหนี้ที่มีปัญหาผู้บริหารอยู่ระหว่างในขั้นตอนการเจรจากับเจ้าหนี้ เพื่อขอปรับโครงสร้างหนี้ยืดเป็นระยะยาว แต่กระบวนการยังทั้งหมดไม่สะเด็ดน้ำ โดยในส่วนของหนี้ตั๋ว B/E ปัจจุบันยังค้างชำระกว่า 300 ล้านบาท บริษัทมีเป้าว่าต้องดำเนินการชำระคืนทั้งหมดภายใน 4 ปี เบื้องต้นรายละเอียดอาจเป็นลักษณะเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ หรือแปลงหนี้เป็นทุน เป็นต้น

ส่วนโอกาสการเพิ่มทุนในอนาคตนั้น นายปรีชา ระบุว่า นโยบายเพิ่มทุนจากนี้ไปจะเป็นลักษณะเข้ามาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกัน ซึ่งการเพิ่มทุนจะต้องสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจบริษัท หรืออาจเป็นรูปแบบรวมธุรกิจโดยการแลกหุ้น (share swap) ซึ่งดีด้วยกันทั้ง2 ฝ่าย โดยธุรกิจที่มีโอกาสเพิ่มทุนในอนาคตคงเป็นธุรกิจความงาม เพื่อจะช่วยทำให้กิจการเติบโตขึ้นได้อีกมาก

*คืบหน้าคดีฟ้องร้องปมขายสิทธิแฟรนไชส์ "วุฒิศักดิ์ คลินิก"

นายปรีชา กล่าวว่า ขณะนี้คดีฟ้องร้องยังอยู่ในกระบวนการทางกฎหมาย แต่บริษัทมีการนัดเจรจากับคู่กรณี เพื่อขอให้ธุรกิจวุฒิศักดิ์ คลินิกสามารถเดินหน้าต่อไปได้ โดยในอนาคตอาจจะกลับเข้ามารวมกันอีกครั้ง เชื่อว่าการเจรจาครั้งนี้น่าจะจบลงด้วยดี

ก่อนหน้าที่จะขายขายแฟรนไชส์วุฒิศักดิ์ คลินิก มีสาขารวมกัน 120 สาขา แต่ปัจจุบันบริษัทเหลือสาขาที่เปิดให้บริการเพียง 16 สาขา ซึ่งทยอยปิดไปมากในช่วงสูญญากาศ แต่มีแผนเปิดสาขาใหม่เพิ่มเป็น 19 สาขาภายในสิ้นปีนี้

อนึ่ง คณะกรรมการชุดเดิม EFORL มีมติขายสาขาแฟรนไชส์ วุฒิศักดิ์ คลินิก มูลค่าประมาณ 250 ล้านบาท ให้บริษัทลูกของ บมจ.ฟิลเตอร์ วิชั่น (FVC) ปัจจุบันยังมีปัญหาฟ้องร้องทางกฎหมายบริษัทมองว่าการขายแฟรนไชส์นั้นไม่มีความเหมาะสม

*หวังธุรกิจความงามพลิกกำไรมั่นใจช่วยฟื้นความเชื่อมั่นผู้ลงทุนอีกครั้ง

นายปรีชา กล่าวว่า ในช่วงที่บริษัทประสบปัญหา ชื่อเสียงแบรนด์ ยังค่อนข้างแข็งแรง มีผู้ลงทุนหลายท่าน รวมถึงคุณวิชัย ทองแตง มีความเชื่อมั่นว่าธุรกิจบริษัทจะกลับมาได้ ถ้าวันหนึ่งธุรกิจความงามภายใต้แบรนด์ Wuttisak และ Snail8 สามารถเติบโตได้จนมีกำไร ผลประกอบการจะกลับมาดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ความเชื่อมั่นผู้ลงทุนกลับมาทันที

"เราคงไม่บอกว่าหุ้นเราดีอย่างไร แต่จะดีได้ก็ต่อเมื่อธุรกิจมีศักยภาพสร้างกำไร วันนี้ราคาหุ้นบริษัทคงสะท้อนออกมาตามความเป็นจริง แต่ใน 3 ปีข้างหน้าต้องการเป็นเบอร์หนึ่งต้องเรียกชื่อเสียงทั้งบริษัทแม่และบริษัทในเครือกลับคืนมาให้หมด เรายังมั่นใจว่าแบรนด์ Wuttisak และ Snail8 ยังได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค"

https://youtu.be/6p-tCSruOEw


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ