นายเฉลิมไชย ศิรินพวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการสายงานบัญชีและการเงิน บมจ.เอแคป แอ๊ดไวเซอรี่ (ACAP)เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท แคปปิตอล โอเค จำกัด (บริษัทฯถือหุ้นร้อยละ 99.99 ของทุนจดทะเบียน) ครั้งที่ 10/2553 เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2553 ได้มีมติให้ซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท เอแคป (เอเชีย) จำกัด (บริษัทฯถือหุ้นร้อยละ 59.99 ของทุนจดทะเบียน) จำนวน 1,440,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 14,400,000 บาท
การเพิ่มทุนในครั้งนี้ของบริษัท เอแคป (เอเชีย) จำกัด จะเพิ่มทุนใหม่จำนวน 24 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 1 ล้านบาท ด้วยการออกหุ้นสามัญใหม่ 2,400,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท โดยหุ้นส่วนที่เหลืออีกจำนวน 960,000 หุ้น จะจำหน่ายให้แก่บริษัท เอแคป (มาเลเซีย) เอสดีเอ็น บีเอชดี (บริษัทฯถือหุ้นร้อยละ 99.99 ของทุนจดทะเบียน) ซึ่งภายหลังการเพิ่มทุนจะทำให้บริษัท แคปปิตอล โอเค จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 57.60 บริษัท เอแคป (มาเลเซีย) เอสดีเอ็น บีเอชดี ถือหุ้นร้อยละ 40.00 และบริษัทฯถือหุ้นร้อยละ 2.39
ในการนี้บริษัท เอแคป (เอเชีย) จำกัด ได้มีกำหนดการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2553 ในวันที่ 30 กันยายน 2553 เพื่อมีมติพิเศษอนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท เอแคป (เอเชีย) จำกัด จำนวน 24 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 2,400,000 หุ้น ชำระเป็นเงินเต็มมูลค่าหุ้นละ 10 บาทหลังจากนั้นจะดำเนินการเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัทบริหารสินทรัพย์ เอแคป (เอเชีย) จำกัด ภายในต้นเดือนตุลาคม 2553
การดำเนินการครั้งนี้ เพื่อให้บริษัท เอแคป (เอเชีย) จำกัด มีคุณสมบัติเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยสำหรับการประกอบธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพในอนาคตต่อไป
ส่วนแหล่งเงินทุนจะใช้เงินทุนหมุนเวียนของบริษัท แคปปิตอล โอเค จำกัด สำหรับการชำระค่าหุ้นที่ออกใหม่ของตนเอง จำนวน 14,400,000 บาท และได้ให้เงินกู้ยืมแก่บริษัท เอแคป มาเลเซีย เอสดีเอ็น บีเอชดี จำนวน 9,600,000 บาท ในการชำระค่าหุ้นที่ออกใหม่ในส่วนที่เป็นของบริษัทเอแคป มาเลเซีย เอสดีเอ็น บีเอชดี โดยได้คิดอัตราดอกเบี้ยMLR เฉลี่ยของ 4 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 6% ต่อปี