สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเหนือระดับ 110 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อคืนนี้ (7 เม.ย.) หลังจากเกิดแผ่นดินไหว 7.4 ริกเตอร์ในประเทศญี่ปุ่นในช่วงค่ำวานนี้ และหลังจากธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเมื่อวานนี้ ซึ่งบ่งชี้ว่าอีซีบีมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อในยูโรโซน
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนพ.ค.พุ่งขึ้น 1.47 ดอลลาร์ ปิดที่ 110.30 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE ปิดบวก 33 เซนต์ แตะที่ 122.26 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX พุ่งขึ้นทันทีที่มีรายงานว่าเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง 7.4 ริกเตอร์ที่จังหวัดมิยากิ ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่นเมื่อเวลาประมาณ 21.32 น.ตามเวลาไทยเมื่อวานนี้ และมีการเตือนภัยคลื่นสึนามิ
อย่างไรก็ตาม สำนักงานอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นได้ยกเลิกการประกาศเตือนภัยคลื่นสึนามิในภายหลัง ขณะที่บริษัทโตเกียว อิเล็กทริก เพาเวอร์ (เทปโก) ยืนยันว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่จังหวัดฟูกุชิม่า ซึ่งรวมถึงโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิม่า ไดอิจิ ไม่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวครั้งล่าสุดนี้
ขณะเดียวกัน สัญญาน้ำมันดิบยังพุ่งขึ้นหลังจากธนาคารกลางยุโรปประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% เป็น 1.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2551 หรือในรอบเกือบ 3 ปี โดยมีเป้าหมายที่จะควบคุมเงินเฟ้อในยูโรโซน
นอกจากนี้ นักลงทุนยังเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบเพราะเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 2 เม.ย.ปรับตัวลง 10,000 ราย แตะระดับ 382,000 ราย ซึ่งปรับตัวลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 385,000 ราย
ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าตลาดแรงงานของสหรัฐกำลังฟื้นตัวขึ้น และสอดคล้องกับที่กระทรวงแรงงานได้รายงานก่อนหน้านี้ว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนมี.ค.ของสหรัฐเพิ่มขึ้น 216,000 ตำแหน่ง มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 190,000 ตำแหน่ง