สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (14 เม.ย.) เพราะได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ นอกจากนี้ สถานการณ์รุนแรงในลิเบียและความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานพลังงานขาดแคลนยังเป็นอีกปัจจัยที่หนุนสัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นด้วย
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนพ.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1 ดอลลาร์ ปิดที่ 108.11 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอนส่งมอบเดือนพ.ค.อ่อนตัวลง 33 เซนต์ ปิดที่ 122 ดอลลาร์/บาร์เรล
ตลาดน้ำมันนิวยอร์กได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวลง หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (พีพีไอ) ทั่วไปปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.7% ในเดือนมี.ค. น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะพุ่งขึ้น 1.0%
นอกจากนี้ ตลาดยังคงได้ปัจจัยบวกจากสถานการณ์รุนแรงในลิเบีย โดยมีรายงานล่าสุดว่ากลุ่มชาติตะวันตกและตะวันออกกลาง รวมทั้งสหประชาชาติ สันนิบาตอาหรับ และสหภาพแอฟริกัน ซึ่งจัดการประชุมขึ้นที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ เรียกร้องให้พันเอกมูอัมมาร์ กาดาฟี ผู้นำลิเบียลงจากอำนาจ และที่ประชุมยังได้แสดงท่าทีสนับสนุนกลุ่มกบฏต่อต้านกัดดาฟี
วิกฤตการณ์ในลิเบียส่งผลให้ปริมาณการส่งออกน้ำมันภายในประเทศลดลงไปแล้ว 1.5 บาร์เรลต่อวัน ขณะที่นักวิเคราะห์ในตลาดน้ำมันนิวยอร์กคาดว่า สถานการณ์ตึงเครียดในลิเบียจะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นอีก
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างวันนั้น สัญญาน้ำมันดิบถูกกดดันจากรายงานที่ว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 9 เม.ย.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 27,000 ราย แตะระดับ 412,000 ราย
สำนักงานสารนิเทศด้านพลังงานของสหรัฐคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบจะเคลื่อนไหวโดยเฉลี่ยที่ระดับ 106 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปีนี้ และ 112 ดอลลาร์/บาร์เรลในปีหน้า