สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) เดือนมี.ค. ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิก ทะยานขึ้น 1.32 ดอลลาร์ แตะที่ 99.99 ดอลลาร์/บาร์เรล ณ เวลา 11.08 น.ตามเวลาลอนดอนในวันนี้ จากระดับปิดของเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 98.67 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากรัฐสภากรีซอนุมัติมาตรการรัดเข็มขัดเพื่อแลกกับเงินช่วยเหลือรอบที่สองจากต่างประเทศ นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ยังได้แรงหนุนจากกระแสความวิตกกังวลที่ว่า การใช้มาตรการคว่ำบาตรน้ำมันต่ออิหร่านอาจจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมัน
รัฐสภากรีซมีมติด้วยคะแนนเสียง 2 ใน 3 อนุมัติมาตรการรัดเข็มขัดฉบับใหม่ในช่วงเช้าวันนี้ตามเวลาไทย เพื่อแลกกับความช่วยเหลือรอบที่ 2 จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และสหภาพยุโรป (อียู) วงเงิน 1.30 แสนล้านยูโร ซึ่งจะช่วยให้กรีซสามารถหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ โดยรัฐบาลกรีซมีกำหนดที่จะต้องใช้เงินในการไถ่ถอนพันธบัตรมูลค่า 1.4 หมื่นล้านยูโร ในวันที่ 20 มี.ค.นี้
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ยังได้แรงหนุนจากความวิตกกังวลที่ว่า มาตรการคว่ำบาตรการนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านซึ่งบังคับใช้โดยกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป (อียู) อาจจะส่งผลให้เกิดภาวะอุปทานตึงตัว และอาจจะหนุนสัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นอีกในอนาคตอันใกล้นี้
ทั้งนี้ ผลผลิตน้ำมันดิบของอิหร่านร่วงลงโดยเฉลี่ย 30,000 บาร์เรลต่อวัน หรือ 0.8% มาอยู่ที่ระดับ 3.55 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนม.ค.
มอร์แกน สแตนลีย์ คาดการณ์ว่า สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน อาจจะร่วงแตะระดับต่ำสุดที่ 85 ดอลลาร์/บาร์เรลในปีนี้ ขณะเดียวกันคาดว่า อุปทานน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้น และความต้องการน้ำมันทั่วโลกจะชะลอตัวลง
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันดิบซึ่งสำนักงานสารนิเทศด้านพลังงานของรัฐบาลกลางสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในวันพุธนี้ เพื่อประเมินว่าความต้องการพลังงานของสหรัฐจะชะลอตัวลงตามทิศทางเศรษฐกิจหรือไม่
ส่วนในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดเมื่อวันที่ 3 ก.พ.ที่ผ่านมานั้น สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 304,000 บาร์เรล สู่ระดับ 339.25 ล้านบาร์เรล ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะพุ่งขึ้น 2.6 ล้านบาร์เรล