สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) เดือนเม.ย. ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิก ลดลงมากถึง 63 เซนต์ แตะที่ 105.62 ดอลลาร์/บาร์เรล ก่อนดีดกลับขึ้นมาซื้อขายที่ระดับ 105.84 ดอลลาร์/บาร์เรล ณ เวลา 12:25 น.ตามเวลาลอนดอน หลังอุปสงค์ในยุโรปและจีนส่งสัญญาณชะลอตัว
ขณะเดียวกันสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ลดลง 8 เซนต์ แตะที่ 121.58 ดอลลาร์/บาร์เรล
ก่อนหน้านี้น้ำมันดิบ WTI พุ่งแตะ 106.41 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคมปีที่แล้ว เนื่องจากมีความกังวลว่าสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างอิหร่านกับโลกตะวันตกจะทวีความรุนแรงขึ้นจนส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมัน
เมื่อวานนี้ สื่อท้องถิ่นในอิหร่านรายงานนายรอสแตม คาเซมี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงน้ำมันอิหร่าน ได้ออกมาประกาศคำขู่รอบใหม่ว่าจะระงับการส่งออกน้ำมันไปยังประเทศในสหภาพยุโรป (อียู) หากยังไม่สามารถทำข้อตกลงเงื่อนไขกันได้ หลังจากเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา กระทรวงน้ำมันอิหร่านประกาศหยุดส่งออกน้ำมันให้กับบริษัทในอังกฤษและฝรั่งเศสแล้ว แม้จะยังเหลือเวลาอีกหลายเดือนก่อนที่สหภาพยุโรปจะประกาศระงับการนำเข้าน้ำมันจากอิหร่าน
ในวันนี้ มาร์กิต อิโคโนมิกส์ รายงานว่า ภาคการผลิตและภาคบริการยูโรโซนหดตัวผิดคาดในเดือนกุมภาพันธ์ โดยจากการประเมินเบื้องต้นพบว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ทั้งในภาคการผลิตและภาคบริการหดตัวลงสู่ระดับ 49.7 จุดในเดือนกุมภาพันธ์ จาก 50.4 จุดในเดือนมกราคม สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นแตะ 50.5 จุด และตัวเลขต่ำกว่า 50 จุดถือว่าอยู่ในภาวะหดตัว
ขณะเดียวกันภาคการผลิตจีนก็หดตัวติดต่อเป็นเดือนที่ 4 โดย HSBC รายงานว่า ดัชนี PMI เบื้องต้นของจีน ขยายตัวแตะ 49.7 จุดในเดือนกุมภาพันธ์ จาก 48.8 จุดในเดือนมกราคม แต่ตัวเลขต่ำว่า 50 จุดยังถือว่าหดตัว
ทั้งนี้ ตัวเลขภาคการผลิตและบริการในยูโรโซนที่อยู่ในภาวะหดตัว และดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นของจีนที่แม้ปรับตัวขึ้น แต่ก็ยังถือว่าหดตัวนั้น บ่งชี้ถึงอุปสงค์ที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง อันเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน