สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดอ่อนตัวลงเมื่อคืนนี้ (12 ต.ค.) จากแรงขายทำกำไรหลังจากที่ราคาปรับตัวขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันยังถูกกดดันจากรายงานของ IEA ที่ปรับลดคาดการณ์ความต้องการน้ำมันทั่วโลก ขณะที่คาดว่าอุปทานจะเพิ่มสูงขึ้น
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย.ปรับตัวลง 21 เซนต์ หรือ 0.23% ปิดที่ 91.86 ดอลลาร์/บาร์เรล อย่างไรก็ดี ตลอดสัปดาห์ ราคายังปรับตัวขึ้น 1.98 ดอลลาร์ หรือ 2.20%
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย.ร่วงลง 1.09 ดอลลาร์ หรือ 0.94% ปิดที่ 114.62 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ตลอดสัปดาห์ สัญญาพุ่งขึ้น 2.6 ดอลลาร์ หรือ 2.32%
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงหลังจากที่สำนักงานพลังงานสากล (IEA) ได้ปรับลดแนวโน้มอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกในปี 2555 และ 2556 ลงอีกปีละ 100,000 บาร์เรล โดยอ้างถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซา
นอกจากนี้ รายงานประจำเดือนของ IEA ยังระบุว่า อุปทานน้ำมันทั่วโลกจะฟื้นตัวดีขึ้นใน 5 ปีข้างหน้า เนื่องจากอุปสงค์ชะลอตัว ขณะที่การผลิตเพิ่มขึ้นในอเมริกาเหนือและตะวันออกกลาง ซึ่งอุปทานที่มากพอ ประกอบกับอุปสงค์ที่ลดลงอาจทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง
ด้านสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 5 ต.ค. เพิ่มขึ้น 1.7 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 366.4 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรล
ขณะเดียวกัน นางคริสทีน ลาการ์ด ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจยังไม่เร็วพอที่จะช่วยควบคุมอัตราว่างงานไม่ให้ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งแนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนแออาจส่งผลกระทบต่อความต้องการน้ำมัน
อย่างไรก็ดี สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางช่วยจำกัดช่วงขาลงของราคาน้ำมัน โดยมีรายงานว่า องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) ได้วางแผนที่จะปกป้องตุรกีจากการโจมตีของซีเรีย ซึ่งแสดงให้เห็นว่านาโต้พร้อมที่จะใช้กำลังทางทหารเพื่อช่วยเหลือตุรกีหากจำเป็น และสถานการณ์ตึงเครียดดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลว่าการส่งออกน้ำมันจากตะวันออกกลางอาจลดลง