สภาทองคำโลก (WGC) เปิดเผยว่า ปริมาณการซื้อทองคำทั่วโลกพุ่งขึ้น 38% ในไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีที่นักลงทุนซื้อทองคำเพื่อการลงทุนมากกว่าซื้อเพื่อนำไปเป็นเครื่องประดับ
WGC ระบุว่า ดีมานด์ทองคำไตรมาสแรกพุ่งขึ้นแตะระดับ 1,015.5 เมตริกตัน จากปีที่แล้วที่ระดับ 733.9 เมตริกตัน ส่วนยอดซื้อทองคำเพื่อการลงทุนเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าที่ระดับ 595.9 ตัน ขณะที่ยอดซื้อเพื่อนำไปเป็นเครื่องประกับลดลง 24% เหลือเพียง 339.4 ตัน
ราคาทองคำพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 11 เดือน สู่ระดับ 1,006.29 ดอลลาร์/ออนซ์เมื่อวันที่ 20 ก.พ.ที่ผ่านมา หลังจากรัฐบาลทั่วโลกอัดฉีดเม็ดเงินหลายล้านล้านดอลลาร์เพื่อยับยั้งเศรษฐกิจถดถอย ส่วนที่อินเดียซึ่งเป็นผู้ซื้อทองคำรายใหญ่สุดของโลกในปีที่แล้วนั้น ยอดซื้อทองคำเพื่อนำไปเป็นเครื่องประดับลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 20 ปี แต่ยอดซื้อทองคำเพื่อการลงทุนปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไร ขณะที่ยอดซื้อทองคำเพื่อการลงทุนในจีนมีมากกว่าในอินเดียถึง 6 เท่า
โรซานา วอซนิแอค ผู้บริหารด้านการลงทุนของ WGC เปิดเผยว่า "เราคาดว่าในระยะยาวนั้น จีนจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในตลาดทองคำโลก ข้อมูลของเราบ่งชี้ว่ายอดขายทองคำพุ่งขึ้นทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการซื้อเพื่อเอาไปขายทำกำไร เนื่องจากเศรษฐกิจโลกถดถอย"
GFMS ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยโลหะมีค่ารายใหญ่ระดับโลกเปิดเผยว่า ความต้องการเหรียญทองคำและทองคำแท่ง พุ่งขึ้นแตะระดับสุงสุดในรอบ 5 ปี หรือนับตั้งแต่ปีพ.ศ.2547 ซึ่งเป็นปีที่ GFMS เริ่มรวบรวมข้อมูลด้านทองคำ ส่วนความต้องการดีมานด์เพื่อนำไปทำเครื่องประดับคิดเป็นสัดส่วน 2 ใน 3 ของดีมานด์ทองคำโดยทั่วไป
ดีมานด์ทองคำแท่งและเหรียญทองในเยอรมนีพุ่งขึ้นเป็น 5 เท่าในช่วงไตรมาสแรก สู่ระดับ 59 ตัน ขณะที่ดีมานด์ทองคำในประเทศไทยลดลงสู่ระดับ 16.9 ตัน เทียบกับปีที่แล้วที่ระดับ 2.1 ตัน ส่วนดีมานด์ในจีนเพิ่มขึ้น 1.8% แตะระดับ 105.2 ตัน จากปีที่แล้วที่ 103.3 ตัน และดีมานด์ในสหรํฐเพิ่มขึ้น 15% สู่ระดับ 55.2 ตัน
นอกจากนี้ WGC ระบุว่า ปริมาณการผลิตในเหมืองทองคำทั่วโลกพุ่งขึ้น 2.9% แตะระดับ 560 ตัน จากปีที่แล้วที่ระดับ 544 ตัน และปริมาณการขายทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกลดลง 55% สู่ระดับ 35 ตัน จากปีที่แล้ว 77 ตัน สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน