ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ (2 พ.ค.) โดยทำสถิติบวกติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่สอง หลังได้แรงหนุนจากข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่ง และความหวังเกี่ยวกับการผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 41,317.43 จุด เพิ่มขึ้น 564.47 จุด หรือ +1.39%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,686.67 จุด เพิ่มขึ้น 82.53 จุด หรือ +1.47% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 17,977.73 จุด เพิ่มขึ้น +266.99 จุด หรือ +1.51%
ดัชนี S&P500 ปิดบวกเป็นวันที่ 9 ติดต่อกัน ซึ่งเท่ากับสถิติเดิมที่เคยทำไว้ในปี 2547 ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ก็ทำสถิติบวกต่อเนื่อง 9 วันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2566
ตลอดทั้งสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 3%, ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 2.9% และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 3.43%
หุ้นทั้ง 11 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักในดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นทั้งหมด โดยกลุ่มสื่อสารเพิ่มขึ้นมากที่สุด 2.30% ตามด้วยกลุ่มการเงินเพิ่มขึ้น 2.15% ส่วนกลุ่มสินค้าจำเป็นสำหรับผู้บริโภคปรับตัวขึ้นน้อยที่สุดเพียง 0.60%
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 177,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 138,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 4.2% สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ข้อมูลนี้ช่วยบรรเทาความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ หลังจากกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของสหรัฐฯ หดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี โดยมีสาเหตุหลักจากการนำเข้าสินค้าจำนวนมากหลังการขึ้นภาษี
รัฐบาลจีนเปิดเผยในวันศุกร์ว่า กำลังพิจารณาข้อเสนอจากสหรัฐฯ ที่จะเปิดเจรจาเกี่ยวกับอัตราภาษีศุลกากร 145% ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เรียกเก็บกับสินค้านำเข้าจากจีนก่อนหน้านี้
สงครามการค้าระหว่างสองมหาอำนาจเศรษฐกิจโลกที่มีการโต้ตอบกันด้วยมาตรการภาษีได้สร้างแรงกดดันต่อนักลงทุนทั่วโลก โดยต่างฝ่ายต่างไม่ต้องการถูกมองว่าเป็นฝ่ายยอมถอย
อย่างไรก็ตาม การที่ทรัมป์ยกเลิกภาษีบางรายการได้ช่วยให้ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวจากการร่วงก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะดัชนี Nasdaq กลับมาอยู่ที่ระดับก่อนวันที่ 2 เม.ย.ซึ่งถูกเรียกว่า "วันปลดปล่อย" เมื่อทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีทั่วโลกครั้งใหญ่
หุ้นแอปเปิ้ล (Apple) ร่วงลงเกือบ 4% หลังจากบริษัทลดโครงการซื้อหุ้นคืนลง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ และทิม คุก ซีอีโอ บอกกับบรรดานักวิเคราะห์ว่า ภาษีนำเข้าอาจเพิ่มต้นทุนของบริษัทอีกประมาณ 900 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสนี้
หุ้นอื่น ๆ ในกลุ่ม Magnificent Seven มีทั้งบวกและลบ เช่น หุ้นเมตา (Meta) พุ่งขึ้น 4.3%, หุ้นอินวิเดีย (Nvidia) เพิ่มขึ้น 2.6% ขณะที่หุ้นอะเมซอน (Amazon) ลดลง 0.1%
ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ เชฟรอน (Chevron) เพิ่มขึ้น 1.6% และเอ็กซอนโมบิล (ExxonMobil) เพิ่มขึ้น 0.4% หลังจากทั้งสองบริษัทรายงานผลประกอบการรายไตรมาสออกมาแข็งแกร่ง