ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดดิ่งลงกว่า 400 จุด หลุดแนว 41,000 จุดในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รวมทั้งความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า
ณ เวลา 00.58 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 40,797.60 จุด ลบ 421.23 จุด หรือ 1.02%
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดทำเนียบขาวต้อนรับนายมาร์ก คาร์นีย์ นายกรัฐมนตรีแคนาดา ในวันนี้ เพื่อทำการเจรจาการค้าระหว่างทั้งสองประเทศ
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์กล่าวยอมรับว่า เขายังไม่ได้พบกับเจ้าหน้าที่ของจีนเพื่อทำการหารือเกี่ยวกับการทำข้อตกลงทางการค้า
"พวกเขาต้องการที่จะเจรจา พวกเขาต้องการที่จะมีการประชุม และเราจะพบกับพวกเขาในเวลาที่เหมาะสม" ปธน.ทรัมป์กล่าว
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐพุ่งขึ้น 14% สู่ระดับ 1.405 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนมี.ค. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 1.376 แสนล้านดอลลาร์ จากระดับ 1.232 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนก.พ.
ตัวเลขขาดดุลการค้าที่ระดับ 1.405 แสนล้านดอลลาร์ดังกล่าว ถือเป็นตัวเลขขาดดุลการค้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ภาคธุรกิจพากันนำเข้าสินค้าก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ครั้งใหญ่ต่อประเทศคู่ค้าในวันที่ 2 เม.ย.
นายพอล ทิวดอร์ โจนส์ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของทิวดอร์ อินเวสเมนท์ ซึ่งเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ขนาดใหญ่ กล่าวว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทมีแนวโน้มที่จะดิ่งลงแตะจุดต่ำสุดครั้งใหม่ แม้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ปรับลดอัตราภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากจีน
"สำหรับผม มันเป็นเรื่องที่ชัดเจนมาก โดยทรัมป์ต้องการเรียกเก็บภาษีศุลกากร ขณะที่เฟดไม่ต้องการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งทั้งสองต่างก็ไม่ส่งผลดีต่อตลาดหุ้น และตลาดจะดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดครั้งใหม่ แม้ว่าทรัมป์ปรับลดอัตราภาษีที่เรียกเก็บจากจีนสู่ระดับ 50%"
"แม้ทรัมป์ปรับลดภาษีที่เรียกเก็บจากจีนสู่ระดับ 50% หรือ 40% แต่นั่นยังคงเป็นการเพิ่มขึ้นของอัตราภาษีครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1960 ซึ่งจะกระทบต่อการขยายตัวราว 2-3%" นายโจนส์กล่าวต่อสำนักข่าว CNBC
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากรจากจีนสูงถึง 145% ส่งผลให้จีนตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐในอัตรา 125%
ก่อนหน้านี้ นายโจนส์ได้กลายเป็นผู้มีชื่อเสียง หลังจากที่เขาสามารถทำนายและทำกำไรได้จากเหตุการณ์ Black Monday ซึ่งตลาดหุ้นวอลล์สตรีททรุดตัวลงอย่างหนักในวันที่ 19 ต.ค.1987
เฟดจะเริ่มการประชุมนโยบายการเงินในวันนี้ ก่อนที่จะประกาศผลการประชุมในวันพรุ่งนี้
นักลงทุนเทน้ำหนักเกือบ 100% ในการคาดการณ์ว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมพรุ่งนี้ แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามกดดันอย่างหนักให้นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด รีบปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ทั้งนี้ นักลงทุนคาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกรกฎาคม กันยายน และตุลาคม
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเดือนพ.ค.และมิ.ย.
นอกจากนี้ FedWatch Tool บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือนก.ค., ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือนก.ย. และปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% ในการประชุมเดือนต.ค.
ปธน.ทรัมป์เรียกร้องอีกครั้งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (2 พ.ค.) ให้นายพาวเวลปรับลดอัตราดอกเบี้ย หลังการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ดีกว่าคาดในเดือนเม.ย.
"เหมือนกับที่ผมเคยพูดไว้ เรากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ผู้บริโภคได้รอคอยเป็นเวลาหลายปีที่จะเห็นราคาปรับตัวลง ไม่มีเงินเฟ้อ เฟดควรจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง!!!" ปธน.ทรัมป์โพสต์ข้อความใน Truth Social
อย่างไรก็ดี ปธน.ทรัมป์ไม่ได้ขู่ที่จะปลดนายพาวเวลออกจากตำแหน่ง หลังจากที่การดำเนินการดังกล่าวก่อนหน้านี้ได้สร้างความตื่นตระหนกต่อนักลงทุน จนทำให้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีททรุดตัวลง ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความเป็นอิสระของเฟด ซึ่งอาจถูกแทรกแซงจากปธน.ทรัมป์