ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวกเล็กน้อย นลท.ประเมินผลประกอบการ

ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเล็กน้อยในวันอังคาร (13 พ.ค.) ขณะที่แรงหนุนจากการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ต่ำกว่าคาดและข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนนั้นเริ่มแผ่วลง ขณะที่นักลงทุนประเมินผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาแบบผสมผสาน

ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 545.17 จุด เพิ่มขึ้น 0.68 จุด หรือ +0.12%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,873.83 จุด เพิ่มขึ้น 23.73 จุด หรือ +0.30%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,638.56 จุด เพิ่มขึ้น 72.02 จุด หรือ +0.31% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,602.92 จุด ลดลง 2.06 จุด หรือ -0.02%

ดัชนี STOXX 600 แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปลายเดือนมี.ค. และเป็นการปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4 โดยดัชนีปรับตัวขึ้นแตะจุดสูงสุดระหว่างวันหลังข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด แต่ตลาดยังคงระมัดระวัง เนื่องจากรายงานดังกล่าวยังไม่สะท้อนผลกระทบจากภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์อย่างเต็มที่

เมื่อวันจันทร์ ตลาดหุ้นทั่วโลกพุ่งขึ้นแรงหลังจีนและสหรัฐฯ ตกลงลดภาษีนำเข้าชั่วคราว 90 วัน ซึ่งช่วยบรรเทาความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับภาวะถดถอยโลกจากสงครามการค้า

แม้ตลาดหุ้นยุโรปฟื้นตัวจากผลกระทบของภาษีที่ทรัมป์ประกาศใช้เมื่อเดือนที่แล้ว แต่ก็ยังมีความกังวลเกี่ยวกับภาษีที่ระดับสูง

ความผันผวนในตลาดลดลง โดยดัชนีความผันผวน Euro STOXX อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 11 สัปดาห์

นักลงทุนยังคงจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยหุ้นไบเออร์ (Bayer) เพิ่มขึ้น 2.8% หลังรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกที่ลดลงน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์

หุ้นบริษัทประกันภัยรายใหญ่ของเยอรมนี อย่าง มิวนิก รี (Munich Re) และฮันโนเวอร์ รี (Hannover Re) ร่วง 4.6% และ 4.4% ตามลำดับ หลังมีกำไรลดลงอย่างมากจากการจ่ายค่าสินไหมรวม 1.7 พันล้านยูโร (1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากเหตุไฟป่าในลอสแอนเจลิส ส่งผลให้ดัชนีกลุ่มประกันภัยของยุโรปลดลง 1.2%