ดาวโจนส์ร่วง นักลงทุนจับตาผลเจรจาการค้าสหรัฐ-จีน

ข่าวต่างประเทศ Monday June 9, 2025 21:01 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลง ขณะที่นักลงทุนจับตาผลการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนในวันนี้

ณ เวลา 20.49 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 42,689.60 จุด ลบ 73.27 จุด หรือ 0.17%

สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงานว่า การเจรจาการค้าและเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐและจีนได้เริ่มต้นขึ้นแล้วที่กรุงลอนดอนในวันนี้

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่เจรจาการค้าของสหรัฐนำโดย นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลัง นายโฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์ และนายเจมีสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ ส่วนเจ้าหน้าที่เจรจาการค้าของจีนนำโดย นายเหอ หลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีจีน


อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์กล่าวว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่กรุงลอนดอนในวันนี้ ไม่น่าจะมีความคืบหน้ามากนักในการแก้ไขความขัดแย้งทางการค้าและภาษีศุลกากรที่พุ่งเป้าไปยังอุตสาหกรรมหลายประเภท นับตั้งแต่เทคโนโลยีและแร่ธาตุสำคัญไปจนถึงการผลิตและการเกษตร

นายจื้อเหว่ย จาง ประธานและหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Pinpoint Asset Management กล่าวว่า สหรัฐและจีนอาจจะต้องใช้เวลาหลายเดือนในการคลี่คลายความตึงเครียดทางการค้า

"ผมไม่ได้คาดหวังมากนักกับการเจรจาการค้าเหล่านี้ และผมไม่เชื่อว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถบรรลุข้อตกลงในเร็ว ๆ นี้"

"อาจมีการแก้ปัญหาเฉพาะเรื่อง เช่น แร่หายาก โดยจีนได้ประกาศแล้วว่าพวกเขาจะให้ใบอนุญาตแก่บริษัทต่างชาติที่ต้องการนำเข้า เราอาจเห็นแนวทางการแก้ไขชั่วคราวแบบนี้ แต่ผมไม่คาดว่าเราจะได้เห็นการแก้ปัญหาแบบเบ็ดเสร็จจากการเจรจาในสหราชอาณาจักรครั้งนี้" นายจางกล่าวในรายการ "China Connection" ของสำนักข่าว CNBC

ด้านนางรีเบคกา ฮาร์ดิ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Centre for Economic Security กล่าวว่า สหรัฐและจีนกำลังติดพันอยู่ในการทำสงครามเพื่อความอยู่รอดในขณะนี้

"นี่เป็นเรื่องของข้อมูล เรื่องของ AI เรื่องของเทคโนโลยี และยังเกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศด้วย ดังนั้นมันจึงเกี่ยวข้องกับแนวทางที่เศรษฐกิจทั้งสองทำการแข่งขันและเอาตัวรอดในโลกดิจิทัล"

"นี่เป็นเรื่องที่มากกว่าแค่การค้าและสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศทั้งสอง มันเกี่ยวกับแนวทางการบริหารเศรษฐกิจของพวกเขา และนี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น และจริง ๆ แล้ว มันเป็นการทำสงครามแห่งศตวรรษที่ 21" นางฮาร์ดิ้งกล่าวในรายการ "Squawk Box Europe" ของสำนักข่าว CNBC

กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ประจำเดือนพ.ค.ในวันพุธ

ทั้งนี้ ผลการสำรวจนักวิเคราะห์คาดว่า ดัชนี CPI ทั่วไป (Headline CPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.5% ในเดือนพ.ค. จากระดับ 2.3% ในเดือนเม.ย.

เมื่อเทียบรายเดือน คาดว่าดัชนี CPI ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนพ.ค. หลังจากปรับตัวขึ้น 0.2% เช่นกันในเดือนเม.ย.

ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน คาดว่าปรับตัวขึ้น 2.9% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี จากระดับ 2.8% ในเดือนเม.ย.

เมื่อเทียบรายเดือน คาดว่าดัชนี CPI พื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนพ.ค. จากระดับ 0.2% ในเดือนเม.ย.

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มเข้าสู่ช่วงงดเว้นการแสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายการเงิน (Blackout Period) ก่อนที่เฟดจะจัดการประชุมกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ในสัปดาห์หน้า

กฎระเบียบของเฟดได้ระบุห้ามเจ้าหน้าที่เฟดแสดงความเห็นหรือให้สัมภาษณ์ในช่วง Blackout Period เกี่ยวกับนโยบายการเงิน โดยเริ่มตั้งแต่วันเสาร์ที่สองก่อนที่การประชุม FOMC จะเริ่มขึ้น และสิ้นสุดในวันพฤหัสบดีหลังการประชุม FOMC เพื่อป้องกันไม่ให้สาธารณชนตีความว่าเป็นการบ่งชี้การดำเนินการด้านอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมนโยบายการเงินที่จะมาถึง

นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะประกาศคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กดดันอย่างหนักให้นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด รีบปรับลดอัตราดอกเบี้ย

นอกจากนี้ นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปีนี้ โดยจะเกิดขึ้นในเดือนกันยายน และธันวาคม

ทั้งนี้ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 99.9% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 17-18 มิ.ย.

นอกจากนี้ FedWatch Tool บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือนก.ย. และปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือนธ.ค.

ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์เรียกร้องถึง 2 ครั้งในสัปดาห์ที่แล้วเพื่อให้นายพาวเวลปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยครั้งแรกเกิดขึ้นในวันพุธที่ 4 มิ.ย. หลังการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี ส่วนครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ 6 มิ.ย. แม้สหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่สูงกว่าคาด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ