ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงในวันศุกร์ (13 มิ.ย.) หลังการโจมตีครั้งใหญ่ของอิสราเอลต่ออิหร่านทำให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยงอย่างกว้างขวาง และหันไปหาสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางบรรยากาศการค้าโลกที่ไม่แน่นอนซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดอยู่แล้ว
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 544.94 จุด ลดลง 4.90 จุด หรือ -0.89%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,684.68 จุด ลดลง 80.43 จุด หรือ -1.04%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,516.23 จุด ลดลง 255.22 จุด หรือ -1.07% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,850.63 จุด ลดลง 34.29 จุด หรือ -0.39%
ดัชนี STOXX 600 ร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์ระหว่างวัน และปรับตัวลงติดต่อกันเป็นวันที่ 5 ซึ่งถือเป็นสถิติการร่วงติดต่อกันยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2567
ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการปรับตัวลดลง หลังนักลงทุนผิดหวังกับผลการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และจีนเมื่อต้นสัปดาห์ และยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าระหว่างสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ ก่อนถึงกำหนดเส้นตายภาษีของทรัมป์ในวันที่ 8 ก.ค.
ดัชนีความผันผวนของตลาดหุ้นยุโรปซึ่งบ่งชี้ถึงความวิตกของนักลงทุน พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 26 พ.ค.
อิสราเอลได้เปิดฉากโจมตีทางอากาศทั่วอิหร่าน โดยอ้างว่าเป็นการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์และโรงงานผลิตขีปนาวุธ ข่าวดังกล่าวได้ฉุดราคาสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกร่วงลง และนักลงทุนแห่เข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ดอลลาร์สหรัฐและทองคำ
แม้ว่าทางการสหรัฐฯ ยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการโจมตีครั้งนี้ แต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรหลักของอิสราเอลระบุว่า อิหร่านเป็นฝ่ายก่อให้เกิดเหตุการณ์นี้เอง เนื่องจากปฏิเสธคำขาดของสหรัฐฯ ในการจำกัดโครงการนิวเคลียร์
หุ้นเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรมในดัชนี STOXX ปรับตัวลง โดยกลุ่มรถยนต์ร่วงหนักสุด 2.2%
กลุ่มท่องเที่ยวและนันทนาการร่วงลง 2% เช่นกัน โดยผู้ให้บริการสายการบินอย่าง ไอซีเอจี (ICAG), ลุฟท์ฮันซ่า (Lufthansa) และ ไรอันแอร์ (Ryanair) เป็นหนึ่งในหุ้นที่ร่วงหนัก เนื่องจากหลายสายการบินต้องหลีกเลี่ยงน่านฟ้าเหนืออิสราเอล อิหร่าน อิรัก และจอร์แดน ขณะที่ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้น
กลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้น 0.6% ตามราคาน้ำมันดิบที่ดีดตัวขึ้นเกือบ 6% ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันจากตะวันออกกลาง
หุ้นกลุ่มขนส่งทางเรือ เช่น เมอร์สก์ (Maersk) และ ฮาพัก-ลอยด์ (Hapag-Lloyd) พุ่งขึ้น 4.2% และเกือบ 1% ตามลำดับ เนื่องจากนักวิเคราะห์เตือนถึงความเสี่ยงที่อัตราค่าระวางจะพุ่งสูงขึ้นจากภาวะอุปทานหยุดชะงัก
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมป้องกันประเทศก็พุ่งขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นไรน์เมทัล (Rheinmetall) ของเยอรมนี พุ่งขึ้น 2.7% และหุ้นบีเออี ซิสเทมส์ (BAE Systems) ของอังกฤษ พุ่งขึ้น 2.9%