ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบในวันจันทร์ (23 มิ.ย.) ที่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 สัปดาห์ เนื่องจากเงินปอนด์ที่แข็งค่ากดดันหุ้นของบริษัทที่มีรายได้จากต่างประเทศ ขณะที่นักลงทุนจับตาความเป็นไปได้ที่จะมีการยกระดับความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,758.04 จุด ลดลง 16.61 จุด หรือ -0.19% ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 30 พ.ค.
เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าหลังจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) แสดงท่าทีผ่อนคลายมากขึ้น ส่งผลให้เงินปอนด์แข็งค่าขึ้น 0.4% ซึ่งกดดันหุ้นของบริษัทข้ามชาติอย่าง เอชเอสบีซี (HSBC) และบริติช อเมริกัน โทแบคโค (British American Tobacco)
นักลงทุนเตรียมรับมือกับการตอบโต้ของอิหร่านต่อการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ ต่อสถานที่ด้านนิวเคลียร์ของอิหร่านเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการยกระดับความขัดแย้งในตะวันออกกลางอย่างมีนัยสำคัญ โดยภูมิภาคนี้มีความสำคัญต่ออุปทานน้ำมันของโลก
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันปรับตัวลงจากระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน ขณะที่ตลาดพยายามประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการขนส่งน้ำมันและก๊าซผ่านช่องแคบฮอร์มุซ
หุ้นบริษัทพลังงานรายใหญ่ของอังกฤษ ได้แก่ เชลล์ (Shell) และบีพี (BP) ขยับขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ฮาร์เบอร์ เอนเนอร์จี (Harbour Energy) เพิ่มขึ้น 1%
หุ้นกลุ่มสายการบิน รวมถึง อีซี่เจ็ต (EasyJet), วิซแอร์ (Wizz Air) และอินเตอร์เนชันแนล คอนโซลิเดเต็ด แอร์ไลน์ส กรุ๊ป (ICAG) บริษัทแม่ของบริติชแอร์เวย์ ร่วงลงระหว่าง 1.1% - 2.4% จากแรงกดดันของราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น
ในขณะเดียวกัน ข้อมูลเศรษฐกิจแสดงให้เห็นว่ากิจกรรมทางธุรกิจในอังกฤษเติบโตเล็กน้อยในเดือนมิ.ย. แต่ความกังวลยังคงมีอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง
เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีกำหนดแถลงต่อสภาคองเกรสในวันอังคารและพุธนี้ โดยนักลงทุนจะจับตาอย่างใกล้ชิดถึงแนวโน้มเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยจากคำแถลงของเขา