ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดทะยานเกือบ 500 จุด ขานรับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐที่สูงกว่าคาด รวมทั้งคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ตลาดได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าและความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์
ณ เวลา 22.50 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 43,865.35 จุด บวก 478.51 จุด หรือ 1.10%
ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 60.7 ในเดือนมิ.ย. สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 60.5 จากระดับ 52.2 ในเดือนพ.ค.
ดัชนีความเชื่อมั่นได้รับแรงหนุนจากการที่ผู้บริโภคคลายความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อและการทำสงครามการค้า หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผ่อนผันการบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อประเทศคู่ค้าออกไปเป็นเวลา 90 วัน
ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 5.0% ในช่วง 1 ปีข้างหน้า ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือนพ.ค.ที่ระดับ 6.6%
นอกจากนี้ ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 4.0% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือนพ.ค.ที่ระดับ 4.2%
นักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ขณะที่อิสราเอลและอิหร่านยังคงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง
ทำเนียบขาวเปิดเผยวานนี้ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจขยายเวลาการระงับใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ที่กำหนดไว้ 90 วัน ซึ่งคำสั่งระงับใช้มาตรการดังกล่าวจะหมดอายุในวันที่ 9 ก.ค.
นางแคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว กล่าวว่า กำหนดเส้นตายดังกล่าวไม่เร่งรีบถึงขั้นวิกฤต
นอกจากนี้ นักลงทุนขานรับคาดการณ์การบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
นายโฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐ กล่าวว่า สหรัฐและจีนได้ข้อสรุปเกี่ยวกับกรอบข้อตกลงการค้าแล้ว และคาดว่าสหรัฐจะบรรลุข้อตกลงกับคู่ค้ารายใหญ่จำนวน 10 ประเทศในเร็ว ๆ นี้
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าววานนี้ว่า "เราเพิ่งเซ็นข้อตกลงกับจีนเมื่อวานนี้" ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวได้ชี้แจงว่า จีนได้เห็นพ้องต่อกรอบความเข้าใจในการดำเนินการตามข้อตกลงเจนีวา
ด้านกระทรวงพาณิชย์ของจีนออกแถลงการณ์ในวันนี้ระบุว่า จันและสหรัฐได้ยืนยันกรอบข้อตกลงทางการค้า ซึ่งจะทำให้จีนส่งออกแร่หายากไปยังสหรัฐ ขณะที่สหรัฐจะผ่อนคลายข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีต่อจีน
นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ โดยคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนกันยายน ตุลาคม และธันวาคม จากเดิมที่คาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้ง หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่ซบเซา
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 79.3% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเดือนก.ค.
นอกจากนี้ FedWatch Tool บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือนก.ย., ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือนต.ค. และปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% ในการประชุมเดือนธ.ค.
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 3 สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1/2568 โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 0.5% ในไตรมาสดังกล่าว ย่ำแย่กว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ที่ระบุว่าหดตัว 0.2% ขณะที่ตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ระบุว่าหดตัว 0.3%
เศรษฐกิจสหรัฐหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปีในไตรมาส 1/2568 โดยได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของการใช้จ่ายของผู้บริโภค รวมทั้งตัวเลขนำเข้าที่พุ่งขึ้น 37.9% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2563 จากการที่บริษัทต่าง ๆ พากันเร่งนำเข้าสินค้าก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะประกาศมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรครั้งใหญ่ในเดือนเม.ย.
ทั้งนี้ ในปี 2567 เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 1.4% ในไตรมาส 1, 3.0% ในไตรมาส 2, 3.1% ในไตรมาส 3 และ 2.4% ในไตรมาส 4
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลทั่วไป (Headline PCE) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.3% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 2.2% ในเดือนเม.ย.
เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.1% สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 0.1% ในเดือนเม.ย.
ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ ปรับตัวขึ้น 2.7% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.6% จากระดับ 2.6% ในเดือนเม.ย.
เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE พื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 0.2% สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.1% จากระดับ 0.1% ในเดือนเม.ย.
ทั้งนี้ ดัชนี PCE ถือเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)