ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นต่อในวันศุกร์ (27 มิ.ย.) ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดตลาดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากความหวังเกี่ยวกับการทำข้อตกลงทางการค้า ซึ่งกระตุ้นให้นักลงทุนต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น และหลังจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สนับสนุนความคาดหวังเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 43,819.27 จุด เพิ่มขึ้น 432.43 จุด หรือ +1.00%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,173.07 จุด เพิ่มขึ้น 32.05 จุด หรือ +0.52% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 20,273.46 จุด เพิ่มขึ้น 105.55 จุด หรือ +0.52%
อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นลดช่วงบวกลง หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ยุติการเจรจาการค้ากับแคนาดา เพื่อตอบโต้การที่แคนาดาเก็บภาษีดิจิทัลกับบริษัทเทคโนโลยี
ดัชนีหุ้นทั้งสามตัวยังคงปรับตัวขึ้นเมื่อเทียบรายสัปดาห์ โดยดัชนี Nasdaq ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์และได้เข้าสู่ภาวะตลาดกระทิง ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์อยู่ต่ำกว่าระดับปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 2566 อยู่ 2.7% และดัชนี S&P ก็กำลังปรับตัวเข้าใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง
รายงานดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) จากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ระบุว่า รายได้และการใช้จ่ายของผู้บริโภคหดตัวอย่างไม่คาดคิดในเดือนพ.ค. แม้ว่าภาษีนำเข้าจะยังไม่ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของราคา แต่อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าระดับเป้าหมายเงินเฟ้อรายปีที่ 2% ของเฟด
รายงานอีกฉบับจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนยืนยันว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคดีขึ้นในเดือนมิ.ย. แต่ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับการฟื้นตัวหลังการเลือกตั้งเมื่อเดือนธ.ค.
เครื่องมือ FedWatch ของ CME บ่งชี้ว่า ตลาดการเงินปรับตัวรับความเป็นไปได้ 76% ว่า เฟด จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของปีในเดือนก.ย.และมีโอกาสเพียง 19% ที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยเร็วที่สุดภายในเดือนก.ค.
เจ้าหน้าที่รายหนึ่งเปิดเผยว่า สหรัฐฯ และจีนได้บรรลุข้อตกลงในการเร่งรัดการส่งออกแร่หายากจากจีนมายังสหรัฐฯ ก่อนถึงเส้นตายวันที่ 9 ก.ค. ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดการระงับเก็บภาษีตอบโต้ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า ข้อตกลงทางการค้าระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าหลัก 18 ประเทศ อาจสามารถสรุปได้ภายในวันแรงงานซึ่งตรงกับวันที่ 1 ก.ย.
ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 นั้น หุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยปรับตัวขึ้นมากที่สุด ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงาน ปรับตัวขึ้นน้อยที่สุด
การคาดการณ์ผลประกอบการที่สดใสของบริษัทไมครอน เทคโนโลยี (Micron Technology) ผู้ผลิตชิป ช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ขณะที่หุ้นอินวิเดีย (Nvidia) เพิ่มขึ้น 1.8% ใกล้แตะมูลค่าตลาดรวม 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากเพิ่งขึ้นแท่นเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก
หุ้นไนกี้ (Nike) พุ่งขึ้น 15.2% หลังจากบริษัทคาดการณ์ว่ารายได้ในไตรมาสแรกจะลดลงน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้