ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันพฤหัสบดี (10 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มเฮลท์แคร์ ขณะที่นักลงทุนเมินคำขู่เรียกเก็บภาษีของสหรัฐฯ ล่าสุด และหันไปให้ความสนใจกับความคืบหน้าในการเจรจาการค้าแทน
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ระดับ 8,975.66 จุด เพิ่มขึ้น 108.64 จุด หรือ +1.23%
นักวิเคราะห์รายหนึ่งกล่าวว่า ขณะนี้มีบริษัทไพรเวทอิควิตี้จำนวนมากที่กำลังสนใจสินทรัพย์ในสหราชอาณาจักร และบอกกับนักลงทุนว่าสินทรัพย์ของอังกฤษยังมีมูลค่าน่าดึงดูดใจ และการที่สหราชอาณาจักรเป็นหนึ่งในประเทศแรกที่ลงนามข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ก็ช่วยยกระดับความเชื่อมั่นด้วยเช่นกัน
นับตั้งแต่ต้นปี 2568 ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 9.8% แซงหน้าดัชนี STOXX 600 ที่เพิ่มขึ้น 8.9% และดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น 6.7%
ราคาสินแร่เหล็กแตะระดับสูงสุดในรอบหลายเดือน ขณะที่โลหะอุตสาหกรรมอย่างอะลูมิเนียมและนิกเกิลก็ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ดัชนีหุ้นกลุ่มเหมืองแร่โลหะอุตสาหกรรมของสหราชอาณาจักรพุ่งขึ้น 3.7% ส่วนหุ้นกลุ่มเหมืองแร่โลหะมีค่าก็ได้รับประโยชน์หลังจากราคาทองคำปรับขึ้นหลังเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง
หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ปรับตัวขึ้นเช่นกัน แม้สหรัฐฯ ขู่เก็บภาษี 200% กับผลิตภัณฑ์ยา โดยหุ้นแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) พุ่งขึ้น 2.6% และหุ้นจีเอสเค (GSK) พุ่งขึ้น 2.1%
นอกจากนี้ สัญญาณการคลี่คลายความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรป (EU) ก็ช่วยเสริมบรรยากาศในตลาด หลังทั้งสองฝ่ายระบุว่ามีความคืบหน้าเป็นอย่างดีในกรอบข้อตกลง และอาจบรรลุข้อตกลงได้ภายในไม่กี่วันข้างหน้านี้