ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงเล็กน้อยในวันจันทร์ (14 ก.ค.) โดยหุ้นกลุ่มยานยนต์ซึ่งอ่อนไหวต่อภาษีร่วงลง หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ขู่จะเก็บภาษีในอัตราสูงจากสหภาพยุโรป (EU) แม้หุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มเฮลท์แคร์ช่วยพยุงตลาดไว้ไม่ให้ร่วงลงมากนัก
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 546.99 จุด ลดลง 0.35 จุด หรือ -0.06%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,808.17 จุด ลดลง 21.12 จุด หรือ -0.27%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,160.64 จุด ลดลง 94.67 จุด หรือ -0.39% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,998.06 จุด เพิ่มขึ้น 56.94 จุด หรือ +0.64%
กลุ่มที่ปรับตัวลงนำตลาดได้แก่กลุ่มยานยนต์ โดยบริษัทรถยนต์จากเยอรมนีอย่าง บีเอ็มดับเบิลยู (BMW), โฟล์คสวาเกน (Volkswagen) และ เมอร์เซเดส-เบนซ์ (Mercedes-Benz) ต่างร่วงลงราว 2% จากความกังวลเรื่องภาษีที่เพิ่มขึ้น
EU กล่าวหาสหรัฐฯ ว่าขัดขวางความพยายามในการทำข้อตกลงการค้า และเตือนว่าจะตอบโต้หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ว่าจะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.นี้
ทรัมป์ได้ยกระดับสงครามการค้าเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (12 ก.ค.) โดยระบุว่าจะเก็บภาษี 30% กับสินค้านำเข้าส่วนใหญ่จาก EU ในเดือนหน้า ขณะที่ EU ยืนยันว่า จะเดินหน้าเจรจาเพื่อหาทางออกทางการค้ากับสหรัฐฯ ต่อไป
หุ้นของบริษัทผลิตสุราที่มีตลาดในสหรัฐฯ อย่าง Pernod Ricard และ Remy Cointreau ร่วงลง 1.2% และ 3.4% ตามลำดับ
แต่หุ้นกลุ่มธนาคารยูโรโซนปรับตัวขึ้น 0.5% โดยเฉพาะธนาคารจากอิตาลี ได้แก่ Banco BPM, BPER Banca และ Banca Popolare di Sondrio พุ่งขึ้นระหว่าง 5-6%
ส่วนหุ้นที่ร่วงหนักที่สุดในดัชนี STOXX ได้แก่หุ้น Lifco ของสวีเดน ซึ่งร่วงลง 9.3% หลังรายงานกำไรไตรมาส 2 ก่อนหักภาษีต่ำกว่าคาด
ในสัปดาห์นี้ ฤดูกาลประกาศผลประกอบการในยุโรปจะเริ่มขึ้น โดยบริษัทเอเอสเอ็มแอล (ASML) ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ผลิตชิปคอมพิวเตอร์รายใหญ่ที่สุดของโลกจะรายงานผลประกอบการในวันพุธนี้
ส่วนในสหรัฐฯ นั้น ธนาคารรายใหญ่ เช่น เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค (JPMorgan Chase & Co), โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) และ มอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) จะทยอยรายงานผลประกอบการตลอดทั้งสัปดาห์
นอกจากนี้ ข้อมูลเงินเฟ้อรายเดือนจากสหรัฐฯ, สหราชอาณาจักร และยูโรโซนมีกำหนดประกาศภายในสัปดาห์นี้เช่นกัน