ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงในวันอังคาร (22 ก.ค.) โดยตลาดหุ้นเยอรมนีปรับตัวลงแรงที่สุดในรอบ 2 เดือน หลังรายงานผลประกอบการของบริษัทหลายแห่งออกมาต่ำกว่าคาด และความหวังต่อการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ-สหภาพยุโรป (EU) เริ่มลดลง ซึ่งกดดันบรรยากาศการลงทุน
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 544.34 จุด ลดลง 2.24 จุด หรือ -0.41%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,744.41 จุด ลดลง 53.81 จุด หรือ -0.69%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,041.90 จุด ลดลง 265.90 จุด หรือ -1.09% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,023.81 จุด เพิ่มขึ้น 10.82 จุด หรือ +0.12%
บรรดานักลงทุนให้ความสนใจเป็นพิเศษกับผลประกอบการในฤดูกาลนี้ เพื่อหาสัญญาณเกี่ยวกับผลกระทบจากความไม่แน่นอนด้านการค้าและค่าเงินยูโรที่ผันผวน โดยข้อมูลจาก LSEG ระบุว่า แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยุโรปดีขึ้นเล็กน้อย แต่โดยเฉลี่ยยังคาดว่าจะลดลง 0.3% เทียบกับปีก่อนที่ STOXX 600 มีกำไรไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3%
ปัจจัยที่กดดันตลาดนั้นยังมาจากการที่นักลงทุนยังคงระมัดระวังกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และยุโรปที่ยืดเยื้อ โดยมีความกังวลว่า EU อาจตอบโต้ด้วยมาตรการกีดกันทางการค้าต่อสหรัฐฯ หากสหรัฐฯ ใช้อัตราภาษีนำเข้า 30% ซึ่งนักวิเคราะห์รายหนึ่งระบุว่า หากเกิดขึ้นจริงจะกระทบต่อแนวโน้มการเติบโตของยูโรโซนที่อยู่ในภาวะเปราะบางอยู่แล้ว
ขณะเดียวกัน ตลาดจับตาผลสำรวจภาวะธุรกิจและการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันพฤหัสบดีนี้ โดยนักลงทุนส่วนใหญ่คาดว่า ECB จะคงอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากยังรอความชัดเจนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐฯ
นักวิเคราะห์กล่าวเพิ่มเติมว่า ECB ยังไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ได้จนกว่าจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับท่าทีทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และยุโรป
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอผลประกอบการของ SAP ซึ่งเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดใหญ่ที่สุดในยุโรป โดยคาดว่าจะรายงานผลประกอบการในวันพฤหัสบดีนี้
สำหรับความเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัวนั้น หุ้น Julius Baer ร่วงลง 2.1% หลังกำไรครึ่งปีแรกถูกกดดันจากการตั้งสำรองหนี้เสียและค่าใช้จ่ายจากการขายธุรกิจบริหารความมั่งคั่งในบราซิล