ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงรุนแรงที่สุดในรอบกว่า 3 เดือนในวันศุกร์ (1 ส.ค.) ขณะที่นักลงทุนประเมินผลกระทบจากการประกาศมาตรการเก็บภาษีของสหรัฐฯ ต่อหลายสิบประเทศ รวมถึงการเรียกเก็บภาษี 39% กับสวิตเซอร์แลนด์
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 535.79 จุด ลดลง 10.32 จุด หรือ -1.89%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,546.16 จุด ลดลง 225.81 จุด หรือ -2.91%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,425.97 จุด ลดลง 639.50 จุด หรือ -2.66% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,068.58 จุด ลดลง 64.23 จุด หรือ -0.70%
บรรดานักลงทุนขายหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงทั่วโลก ขณะที่ทรัมป์เดินหน้าบังคับใช้ภาษีอย่างต่อเนื่อง โดยประกาศเก็บภาษีในอัตราสูงต่อสินค้าส่งออกจากประเทศคู่ค้าหลายสิบประเทศ เช่น แคนาดา บราซิล อินเดีย และไต้หวัน ส่วนประเทศอื่น ๆ ที่ไม่ได้ระบุชื่อจะถูกเรียกเก็บในอัตราพื้นฐาน 10%
หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ลดลง 1% หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งจดหมายถึงผู้นำของบริษัทยาขนาดใหญ่ 17 แห่ง รวมถึง Novo Nordisk และ Sanofi โดยอธิบายแนวทางที่บริษัทเหล่านี้ควรใช้ในการลดราคายาในสหรัฐฯ
กลุ่มนี้เผชิญแรงกดดันอยู่แล้วในสัปดาห์นี้จากการที่ Novo Nordisk เตือนว่ากำไรจะลดลง โดยหุ้นของผู้ผลิตยาลดน้ำหนัก (Wegovy) ที่จดทะเบียนในเดนมาร์ก ร่วง 1.8% และลดลงรายสัปดาห์หนักที่สุดเป็นประวัติการณ์
นักวิเคราะห์ระบุว่า ยุโรปเป็นภูมิภาคที่พึ่งพาการส่งออก หากมีการเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นทั่วโลกและการค้าชะลอตัว นั่นย่อมกระทบกับบริษัทในยุโรปไม่ว่ากรณีใดก็ตาม
ดัชนี STOXX 600 ปรับตัวลงรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย. 2568 ซึ่งเป็นช่วงที่ทรัมป์เริ่มเปิดเผยแผนเก็บภาษีต่อคู่ค้าทั่วโลก
หุ้นกลุ่มธนาคารที่ปรับตัวขึ้นเมื่อต้นสัปดาห์ กลับลดลง 3.4% และเป็นกลุ่มที่ปรับตัวแย่ที่สุดของวัน โดยปรับตัวลงรายวันรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย.
บรรยากาศตลาดยังถูกกดดันโดยข้อมูลจากสหรัฐฯ ที่บ่งชี้ว่าการจ้างงานชะลอลงอย่างมากในเดือนก.ค. ซึ่งหนุนการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า ขณะที่นักลงทุนยังคงประเมินว่า ธนาคารกลางยุโรปอาจผ่อนคลายนโยบายในช่วงปลายปีนี้เช่นกัน