ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันพุธ (13 ส.ค.) แตะระดับสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งช่วยกระตุ้นความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 9,165.23 จุด เพิ่มขึ้น 17.42 จุด หรือ +0.19%
ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นหลังข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในวันอังคารออกมาตามคาด ซึ่งเพิ่มความมั่นใจว่า มีโอกาสสูงที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือนก.ย. และดันตลาดหุ้นวอลล์สตรีททำสถิติสูงสุดใหม่
บรรยากาศเชิงบวกนี้หนุนตลาดหุ้นอังกฤษเช่นกัน โดยหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์พุ่งขึ้น 2.7%
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลแรงงานอังกฤษในวันอังคารชี้ว่าการจ้างงานอ่อนแอ แต่ค่าจ้างยังคงสูง ทำให้ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ต้องเผชิญความท้าทายในการรักษาสมดุลระหว่างเศรษฐกิจที่ชะลอตัวกับเงินเฟ้อที่ระดับสูง ขณะนี้ตลาดคาดว่าการปรับลดดอกเบี้ยของ BoE จะเลื่อนไปเป็นเดือนพ.ย.
นักลงทุนมุ่งความสนใจไปที่การประกาศตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในวันพฤหัสบดี โดยนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าเศรษฐกิจอังกฤษขยายตัว 0.1% ในรอบ 3 เดือนสิ้นสุดเดือนมิ.ย.
นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาการเจรจาครั้งสำคัญในวันศุกร์นี้ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซีย เกี่ยวกับข้อตกลงยุติสงครามยูเครน
หุ้นกลุ่มพลังงานลดลง 0.6% ตามราคาน้ำมันที่ร่วงลงกว่า 1% ในวันเดียว แต่การปรับลงถูกจำกัด หลังสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ส่งสัญญาณว่าการคว่ำบาตรรัสเซียหรือการเก็บภาษีทดแทนจากประเทศที่สามอาจเพิ่มขึ้น หากการประชุมในวันศุกร์ไม่เป็นไปตามคาด
ขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มการเงินอ่อนตัว โดยกลุ่มประกันวินาศภัยร่วงลง 3.5% โดยหุ้น Beazley ดิ่ง 12.3% หนักสุดในรอบเกือบ 5 ปี หลังปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเบี้ยประกันรายปี ส่วนหนึ่งมาจากความต้องการประกันความเสี่ยงทางไซเบอร์และทรัพย์สินที่ซบเซา
หุ้น Hill & Smith ผู้ผลิตสินค้าโครงสร้างพื้นฐานพุ่งขึ้น 10.2% หลังประกาศผลประกอบการครึ่งปีและแผนซื้อหุ้นคืน