ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลดลงในวันอังคาร (2 ก.ย.) โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มธนาคารที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย, กลุ่มอุตสาหกรรม และกลุ่มสาธารณูปโภค ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนเกี่ยวกับฐานะการคลังของประเทศ
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ 9,116.69 จุด ลดลง 79.65 จุด หรือ -0.87%
ดัชนี FTSE 100 ปรับตัวลงมากที่สุดในรอบเกือบ 5 เดือน หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปีของอังกฤษพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 27 ปี ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงกว่า 1.5% ท่ามกลางความวิตกของนักลงทุนต่อความสามารถของรัฐบาลอังกฤษในการควบคุมด้านการคลัง
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปีปรับขึ้นสู่ระดับ 5.72% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2541
นายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ ได้ปรับคณะทำงานที่ปรึกษาหลักของตน เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจก่อนการจัดทำงบประมาณปลายปีนี้ซึ่งคาดว่าจะมีการขึ้นภาษีเพิ่มเติม แต่การปรับทีมงานครั้งนี้กลับก่อให้เกิดกระแสข่าวเกี่ยวกับผลกระทบต่อตำแหน่งรัฐมนตรีคลังอังกฤษของราเชล รีฟส์
นักวิเคราะห์กล่าวว่า การปรับคณะทำงานดังกล่าว ทำให้มีความกังวลว่า รัฐมนตรีคลังอาจกำลังจะพ้นจากตำแหน่ง
หุ้นธนาคารรายใหญ่ร่วงลงอีกครั้ง โดยหุ้น NatWest, Barclays และ Lloyds ร่วงลงราว 2% หลังจากสถาบันวิจัยเสนอแนวคิดให้เก็บภาษีจากภาคธนาคารเพื่อเป็นช่องทางเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาลอังกฤษ
หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ร่วงลง โดยหุ้น Segro ดิ่งลง 3.9% ขณะที่หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคปรับตัวลงด้วย โดยหุ้น SSE ร่วง 3.7%
หุ้นบริษัทประกัน อาทิ Legal & General และ Phoenix ร่วงลงมากกว่า 4%
หุ้นกลุ่มค้าปลีกและกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น Tesco, M&S และ British American Tobacco ก็ปรับตัวลงเช่นกัน
หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและนันทนาการร่วงลง โดยหุ้น IAG เจ้าของ British Airways ร่วง 3.3% และหุ้น Whitbread ร่วง 4.5%