ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดดิ่งลงกว่า 200 จุด หลังการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานที่อ่อนแอ
ณ เวลา 21.08 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 45,087.80 จุด ลบ 208.01 จุด หรือ 0.46%
สำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน ลดลง 170,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 7.18 ล้านตำแหน่งในเดือนก.ค. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 7.38 ล้านตำแหน่ง
ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานได้รับผลกระทบจากนโยบายเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งทำให้ภาคธุรกิจเกิดความลังเลในการจ้างงาน
ทั้งนี้ ตัวเลข JOLTS นับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสนใจ โดยมองว่าเป็นมาตรวัดภาวะตึงตัวในตลาดแรงงาน ซึ่งเป็นปัจจัยในการพิจารณานโยบายการเงิน และอัตราดอกเบี้ยของเฟด
ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 200 จุดวานนี้ โดยถูกกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ท่ามกลางความกังวลที่ว่า รัฐบาลสหรัฐอาจต้องคืนเงินภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บไปแล้วจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์แก่ประเทศคู่ค้า ซึ่งจะซ้ำเติมสถานะทางการคลังของรัฐบาลสหรัฐ
คำสั่งเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง หลังจากศาลอุทธรณ์ของสหรัฐมีคำวินิจฉัยเมื่อวันศุกร์ที่แล้วว่า ภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ของปธน.ทรัมป์ "มิชอบด้วยกฎหมาย"
ทั้งนี้ ศาลตัดสินว่า มีเพียงสภาคองเกรสเท่านั้นที่มีอำนาจในการกำหนดการจัดเก็บภาษีในวงกว้าง โดยระบุว่า "อำนาจหลักของสภาคองเกรสในการจัดเก็บภาษี เช่น ภาษีศุลกากรนั้น เป็นอำนาจที่รัฐธรรมนูญมอบให้แก่ฝ่ายนิติบัญญัติเพียงฝ่ายเดียว"
ด้านปธน.ทรัมป์ระบุว่า คำตัดสินดังกล่าวมีสาเหตุทางการเมือง และเขาจะยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาสหรัฐ
การตัดสินของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว ได้เพิ่มความเป็นไปได้ที่รัฐบาลสหรัฐอาจต้องคืนเงินภาษีที่เรียกเก็บไปแล้ว ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมสถานะทางการคลังของรัฐบาลสหรัฐ
นายเอ็ด มิลส์ จากบริษัท Raymond James ระบุในรายงานว่า "หากคำตัดสินนี้มีผลบังคับใช้จริง จะทำให้รัฐบาลสหรัฐต้องคืนเงินภาษีศุลกากรที่เก็บไปแล้ว ซึ่งจะทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องออกพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้นอย่างมาก และส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งขึ้น"
ก่อนหน้านี้ ปธน.ทรัมป์แสดงความยินดีที่เงินจากการเก็บภาษีศุลกากรกำลังหลั่งไหลเข้าสู่สหรัฐ คิดเป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์
นักลงทุนจับตารายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ ในวันนี้
ทั้งนี้ Beige Book เป็นรายงานซึ่งจะมีการเปิดเผยก่อนการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) เป็นเวลา 2 สัปดาห์ โดยเป็นการประเมินภาวะเศรษฐกิจจากเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งประจำอยู่ใน 12 เขตของสหรัฐ
นอกจากนี้ Beige Book เป็นรายงานที่มีการรวบรวมข้อมูลจากมุมมองของผู้นำธุรกิจ รวมทั้งนักเศรษฐศาสตร์และนายธนาคารในภูมิภาค ทำให้ Beige Book สามารถสะท้อนภาวะเศรษฐกิจสหรัฐในวงกว้าง
ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันศุกร์ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานเพิ่มขึ้นเพียง 74,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 73,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. และคาดว่าอัตราว่างงานเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.3% ในเดือนส.ค. จากระดับ 4.2% ในเดือนก.ค.