ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดร่วงลงกว่า 100 จุด หลังการเปิดเผยตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ำกว่าคาดในเดือนก.ย.
นอกจากนี้ นักลงทุนพากันเทขายทำกำไร หลังตลาดพุ่งขึ้นอย่างมากวานนี้
ณ เวลา 21.34 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 45,965.80 จุด ลบ 142.20 จุด หรือ 0.31%
ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นเบื้องต้นของผู้บริโภคสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 55.4 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 58.0 จากระดับ 58.2 ในเดือนส.ค.
ดัชนีความเชื่อมั่นได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ ตลาดแรงงานสหรัฐ และมาตรการภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ทั้งนี้ ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 3.9% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือนส.ค.ที่ระดับ 3.5%
นอกจากนี้ ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 4.8% ในช่วง 1 ปีข้างหน้า ไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขคาดการณ์ในเดือนส.ค.
ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 600 จุดวานนี้ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้แรงหนุนจากคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า หลังการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงาน
นักลงทุนยังคงคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์หน้า แม้ดัชนี CPI ดีดตัวขึ้นจากเดือนก.ค.
นอกจากนี้ นักลงทุนมองว่าตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานที่พุ่งขึ้นจะเป็นปัจจัยหนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 92.7% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมวันที่ 16-17 ก.ย.
นอกจากนี้ นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ทั้งในการประชุมเดือนต.ค.และธ.ค.