ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (18 ก.ย.) โดยตลาดยังคงได้ปัจจัยบวกจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา พร้อมกับส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในปีนี้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากความแข็งแกร่งของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นอินเทล (Intel) ที่พุ่งขึ้นกว่า 20%
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 46,142.42 จุด เพิ่มขึ้น 124.10 จุด หรือ +0.27%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,631.96 จุด เพิ่มขึ้น 31.61 จุด หรือ +0.48% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,470.73 จุด เพิ่มขึ้น 209.40 จุด หรือ +0.94%
หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น 1.36% ตามด้วยหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้น 1.06% ส่วนหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวลงมากที่สุด โดยร่วงลง 1.03% ตามด้วยหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยลดลง 0.51%
หุ้นอินเทลปิดตลาดทะยานขึ้น 22.77% ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นในวันเดียวที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2530 หลังจากอินวิเดีย (Nvidia) ประกาศว่าจะลงทุนมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์ในบริษัทอินเทล ภายใต้ข้อตกลงในการร่วมพัฒนาชิปสำหรับศูนย์ข้อมูลและคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล โดยอินวิเดียจะเข้าซื้อหุ้นอินเทลในราคา 23.28 ดอลลาร์/หุ้น
เจนเซน หวง ซีอีโอของอินวิเดียกล่าวว่า ความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์นี้จะเชื่อมโยงเทคโนโลยีด้าน AI และประสิทธิภาพในการประมวลผลของอินวิเดียเข้ากับซีพียูและระบบ x86 ของอินเทล ซึ่งการผสมผสานกันของสองแพลตฟอร์มระดับโลกนี้จะช่วยขยายระบบนิเวศทางเทคโนโลยีและปูทางไปสู่ยุคใหม่ของการประมวลผล
หุ้นอินวิเดียพุ่งขึ้น 3.5% ฟื้นตัวหลังจากปิดตลาดร่วงลงเมื่อวันพุธ อันเนื่องมาจากข่าวที่ว่าหน่วยงานกำกับดูแลอินเทอร์เน็ตของจีนได้สั่งให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของจีนระงับการซื้อชิป AI ของอินวิเดีย
ความเคลื่อนไหวล่าสุดของอินเทลและอินวิเดียเป็นปัจจัยหนุนดัชนี Nasdaq ปิดตลาดพุ่งขึ้นกว่า 200 จุด และยังช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในดัชนี S&P500 พุ่งขึ้น 1.36%
ส่วนดัชนี Russell 2000 ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มบริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปต่ำพุ่งขึ้นแตะระดับ 2,466 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2567 โดยหุ้นของบริษัทในกลุ่มนี้มักจะทำผลงานได้ดีในสภาพแวดล้อมอัตราดอกเบี้ยต่ำ
คณะกรรมการเฟดมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเมื่อวันพุธ ส่วนในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 0.50% ภายสิ้นปีนี้ พร้อมกับส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 1 ครั้งในปี 2569 และลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% จำนวน 1 ครั้งในปี 2570
ทั้งนี้ คาดว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะยิ่งเป็นแรงส่งให้ตลาดหุ้นนิวยอร์กคึกคักขึ้นอีก หลังจากที่ตลาดพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงก่อนหน้านี้ อันเนื่องมาจากความหวังที่ว่าเฟดจะผ่อนคลายนโยบายการเงิน รวมทั้งการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี AI
นอกจากนี้ แม้ว่ารายงาน Dot Plot ของเฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกเพียง 1 ครั้งในปีหน้า แต่ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนต.ค.และธ.ค. ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยของเฟดลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3.50-3.75% ในช่วงสิ้นปี 2568
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการรายงานเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 33,000 ราย สู่ระดับ 231,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 241,000 ราย หลังพุ่งแตะระดับ 264,000 รายในสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี