ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันพฤหัสบดี (18 ก.ย.) นำโดยหุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิป หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) กลับมาใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินอีกครั้ง
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 555.01 จุด เพิ่มขึ้น 4.38 จุด หรือ +0.80%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,854.61 จุด เพิ่มขึ้น 67.63 จุด หรือ +0.87%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,674.53 จุด เพิ่มขึ้น 315.35 จุด หรือ +1.35% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,228.11 จุด เพิ่มขึ้น 19.74 จุด หรือ +0.21%
ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น 4.1% ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นวันเดียวมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 23 เม.ย.
แรงหนุนหลักมาจากหุ้นบริษัทผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในยุโรปที่ทะยานตามหุ้นในตลาดสหรัฐฯ หลัง Nvidia ประกาศแผนลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์ใน Intel ที่กำลังประสบปัญหา โดย หุ้น BE Semiconductor พุ่งขึ้น 7.9% ขณะที่หุ้น ASML และ ASMI พุ่ง 7.7% และ 8.7% ตามลำดับ
บรรยากาศเชิงบวกยังได้แรงหนุนจากการตัดสินใจของเฟดเมื่อวันพุธที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงตามคาด 0.25% ซึ่งถือเป็นการผ่อนคลายนโยบายครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธ.ค. ปีที่แล้ว และเฟดยังคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในการประชุมเดือนต.ค.และธ.ค. เพื่อชะลอการอ่อนแอลงของตลาดแรงงาน
ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 4% หลังจากเพิ่งปรับลด 0.25% ในเดือนส.ค. ขณะที่ธนาคารกลางนอร์เวย์ก็ปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% เช่นกัน และส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไป
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มสินค้าหรูหราที่พุ่งขึ้น 1.8% และหุ้นกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น 1.2% ด้วย
สำหรับความเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัวนั้น หุ้น Novo Nordisk พุ่ง 6.2% หลังนักลงทุนมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มของบริษัทหลังการประชุมด้านโรคเบาหวานครั้งสำคัญที่กรุงเวียนนาในสัปดาห์นี้
ส่วนความไม่สงบทางการเมืองในฝรั่งเศสยังคงดำเนินต่อไป หลังเกิดการประท้วงต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัดเมื่อวันพฤหัสบดี โดยผู้ชุมนุมเรียกร้องให้เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส และเซบาสเตียน เลอคอร์นู นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ยกเลิกแผนตัดงบประมาณ