ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบติดต่อกันเป็นวันที่สองในวันพุธ (24 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรในขณะที่ดัชนียังคงเคลื่อนไหวใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยคำสั่งขายดังกล่าวมีขึ้นหลังจากเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เตือนว่าราคาหุ้นอยู่ในระดับสูง ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ในวันศุกร์นี้ เพื่อประเมินแนวโน้มเงินเฟ้อและทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 46,121.28 จุด ลดลง 171.50 จุด หรือ -0.37%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,637.97 จุด ลดลง 18.95 จุด หรือ -0.28% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,497.86 จุด ลดลง 75.62 จุด หรือ -0.33%
ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมที่ Greater Providence Chamber of Commerce (GPCC) เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา พาวเวลได้รับคำถามที่ว่า เขาและคณะกรรมการเฟดให้ความสำคัญต่อราคาตลาดมากน้อยเพียงใด และมีความอดทนต่อมูลค่าที่สูงขึ้นหรือไม่ โดยเขาตอบว่า "เรามองไปที่สถานการณ์ด้านการเงินโดยรวม และเราจะถามตัวเองว่านโยบายของเรากำลังส่งผลต่อสถานการณ์การเงินในแนวทางที่เราพยายามบรรลุหรือไม่ แต่คุณพูดถูก หากดูจากมาตรวัดหลายตัว เช่น ราคาหุ้น กำลังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงทีเดียว"
ในช่วงก่อนการประชุมนโยบายการเงินของเฟดเมื่อวันที่ 16-17 ก.ย.ที่ผ่านมา ราคาหุ้นและสินทรัพย์อื่น ๆ ต่างก็พุ่งขึ้นอย่างมาก เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และหลังจากที่เฟดตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งนี้ตามคาด ตลาดหุ้นก็ยังคงพุ่งทำสถิติสูงสุดระดับใหม่อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าโดยปกติแล้วเดือนก.ย.มักจะเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นอ่อนแอก็ตาม
นอกจากนี้ พาวเวลได้แสดงความเห็นอย่างระมัดระวังต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยกล่าวว่า เฟดเผชิญความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่ดีดตัวขึ้น และการจ้างงานที่มีแนวโน้มลดลง ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่ท้าทายสำหรับเฟด และทำให้เฟดจำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่างการควบคุมเงินเฟ้อและการสนับสนุนการจ้างงาน
นักวิเคราะห์บางรายมองว่า การแสดงความเห็นดังกล่าวของพาวเวลคล้ายกับคำพูดของอลัน กรีนสแปน อดีตประธานเฟดซึ่งกล่าวในสุนทรพจน์เมื่อปี 2539 ว่า "ภาวะการซื้อขายที่คึกคักอย่างไร้เหตุผล ได้ผลักดันให้มูลค่าสินทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้น"
หุ้นกลุ่มวัสดุร่วงลง 1.6% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดในดัชนี S&P500 โดยถูกกดดันจากหุ้น Freeport-McMoRan ที่ดิ่งลง 17% หลังจากบริษัทประกาศภาวะสุดวิสัย (force majeure) ที่เหมือง Grasberg ในอินโดนีเซีย พร้อมกับคาดการณ์ว่ายอดขายทองแดงและทองคำจะลดลงในไตรมาส 3 ปีนี้
ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 1.2% ซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในดัชนี S&P500 โดยได้แรงหนุนจากราคาน้ำมัน WTI ที่พุ่งขึ้นกว่า 2% หลังสหรัฐฯ เปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบลดลงอย่างเหนือความคาดหมายในสัปดาห์ที่แล้ว
หุ้น Lithium Americas ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ พุ่งขึ้นแข็งแกร่งถึง 95.7% ปิดที่ระดับ 6.01 ดอลลาร์ หลังจากสื่อรายงานว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังมองหาลู่ทางในการเข้าถือหุ้นในบริษัทแห่งนี้สูงถึง 10%
หุ้น General Motors (GM) พุ่งขึ้น 2.3% หลังจากนักวิเคราะห์ของ UBS ได้ปรับเพิ่มคำแนะนำการลงทุนในหุ้น GM สู่ระดับ "Buy" จากระดับ "Hold"
หุ้น Oracle ปรับตัวลง 1.7% หลังจากสื่อรายงานว่าบริษัทกำลังวางแผนระดมทุนจากการขายหุ้นกู้มูลค่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการรายงานเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ รายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่พุ่งขึ้น 20.5% สู่ระดับ 800,000 ยูนิตในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2565 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 630,000 ยูนิต จากระดับ 664,000 ยูนิตในเดือนก.ค.
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ โดยในวันนี้จะมีการเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนส.ค., ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2568 และยอดขายบ้านมือสองเดือนส.ค. ส่วนในวันศุกร์จะมีการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนส.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน