ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดร่วง 878.82 จุด หลังทรัมป์ขู่เก็บภาษีจีนเพิ่ม 100%

ข่าวต่างประเทศ Saturday October 11, 2025 06:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงในวันศุกร์ (10 ต.ค.) หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ยกระดับความขัดแย้งทางการค้ากับจีน ภายหลังจากที่จีนคุมเข้มมาตรการจำกัดการส่งออกแร่หายาก โดยทรัมป์ประกาศว่าจะเก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 100% พร้อมทั้งควบคุมการส่งออกซอฟต์แวร์สำคัญที่ผลิตในสหรัฐฯ ซึ่งทำให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ร่วงลงอย่างหนัก

ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 45,479.60 จุด ลดลง 878.82 จุด หรือ -1.90%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,552.51 จุด ลดลง 182.60 จุด หรือ -2.71% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,204.43 จุด ลดลง 820.20 จุด หรือ -3.56%

หุ้น Nvidia, Tesla, Amazon และ Advanced Micro Devices ต่างร่วงลงมากกว่า 2% ในการซื้อขายหลังปิดตลาด โดยการร่วงดังกล่าวเกิดขึ้นต่อเนื่องจากช่วงระหว่างวัน หลังทรัมป์โพสต์ข้อความบน Truth Social เตือนว่า เขากำลังพิจารณาเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และระบุว่าไม่มีเหตุผลที่จะต้องพบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า พร้อมเสริมว่ายังมีมาตรการตอบโต้รูปแบบอื่นอีกมากที่อยู่ระหว่างการพิจารณา

ดัชนี Philadelphia Semiconductor Index ร่วงลง 6.3% หลังการประกาศของทรัมป์

ความเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดของทรัมป์สร้างความตื่นตระหนกต่อตลาด และยิ่งเพิ่มความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างสองเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ทั้งสามตัวหลักร่วงลงแรงในระหว่างการซื้อขายในวันศุกร์ ก่อนที่แรงขายจะขยายตัวต่อไปหลังปิดตลาด โดยดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ร่วงลงวันเดียวเป็นเปอร์เซ็นต์มากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย. ส่วนในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. และดัชนี Nasdaq ร่วงลงแรงที่สุดในรอบสัปดาห์ตั้งแต่เดือนเม.ย.

นักวิเคราะห์รายหนึ่งให้ความเห็นว่า ขณะนี้ประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับหนึ่งและสองของโลกกลับมามีปัญหากันอีกครั้ง และนักลงทุนมีพฤติกรรมเทขายก่อน ค่อยหาคำตอบทีหลังในช่วงท้ายสัปดาห์ เขาระบุว่าข้อความของประธานาธิบดีทรัมป์เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด ซึ่งเปิดช่องให้เกิดความผันผวนรุนแรงในตลาด พร้อมเสริมว่า ตลาดไม่ได้เผชิญความผันผวนระดับนี้มานาน และอาจกล่าวได้ว่า ความตึงเครียดเช่นนี้เหมาะสมกับเดือนต.ค. ที่มักสร้างความหวั่นวิตกให้ตลาดอยู่แล้ว

นโยบายการค้าของทรัมป์ที่ไม่แน่นอนทำให้ตลาดผันผวนมาตั้งแต่การประกาศภาษีในวัน "Liberation Day" เมื่อวันที่ 2 เม.ย. โดยการเจรจาทางการค้าที่ไม่ต่อเนื่องได้สร้างแรงกระเพื่อมในสินทรัพย์หลายประเภท

จีนเป็นผู้ผลิตแร่หายากและแม่เหล็กแร่หายากที่ผ่านกระบวนการแล้วกว่า 90% ของโลก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในผลิตภัณฑ์ตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้า เครื่องยนต์เครื่องบิน ไปจนถึงเรดาร์ทางทหาร การทำสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงระหว่างสองเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี รถยนต์ไฟฟ้า และการป้องกันประเทศ

ดัชนี CBOE Volatility Index ซึ่งสะท้อนระดับความวิตกของตลาด พุ่งขึ้นแตะระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 19 มิ.ย.

หุ้นของบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดสหรัฐฯ ร่วงลงอย่างหนัก โดยหุ้น Alibaba Group Holding, JD.com Inc และ PDD Holdings ร่วงลงระหว่าง 5.3% ถึง 8.5%

หุ้น Qualcomm ดิ่งลง 7.3% หลังหน่วยงานกำกับดูแลของจีนเปิดเผยว่าได้เริ่มสอบสวนการผูกขาดของบริษัท เนื่องจากการเข้าซื้อกิจการของ Autotalks จากอิสราเอล

ขณะนี้รัฐบาลสหรัฐฯ อยู่ในภาวะชัตดาวน์เป็นวันที่ 10 ติดต่อกัน หลังการเจรจาระหว่างสภาคองเกรสยังไม่คืบหน้า ส่งผลให้หน่วยงานของรัฐยังไม่สามารถเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการได้ชั่วคราว

อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากหน่วยงานอิสระยังคงเผยแพร่อย่างต่อเนื่อง โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกนเปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นในเดือนต.ค. ซึ่งยังอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากราคาสินค้าที่สูงและแนวโน้มการจ้างงานที่อ่อนแอยังคงเป็นปัจจัยกังวลหลักของผู้บริโภค

ในช่วงที่ไม่มีข้อมูลจากทางการสหรัฐฯ นักลงทุนจึงจับตาท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เกี่ยวกับแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในระยะสั้น

คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ผู้ว่าการเฟดกล่าวว่า แม้ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนยังสะท้อนถึงความอ่อนแอในตลาดแรงงาน แต่เฟดควรดำเนินการอย่างระมัดระวังเมื่อจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่อัลแบร์โต มูซาเลม ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์เห็นพ้องว่า อาจจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมเพื่อป้องกันความอ่อนแอในตลาดแรงงาน แต่ย้ำว่าควรดำเนินการด้วยความระมัดระวังก่อนที่นโยบายการเงินจะผ่อนคลายมากเกินไป

สถาบันการเงินรายใหญ่หลายแห่ง เช่น JPMorgan Chase, Goldman Sachs, Citigroup และ Wells Fargo เตรียมเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3 ในวันอังคาร (14 ต.ค.) ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นอย่างไม่เป็นทางการของฤดูกาลประกาศผลประกอบการไตรมาส 3

นักวิเคราะห์คาดว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 จะเติบโต 8.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน ลดลงจากการเติบโต 13.8% ในไตรมาส 2 และ 9.1% ในไตรมาส 3 ของปี 2567 ตามข้อมูลของ LSEG


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ