ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบในวันศุกร์ (10 ต.ค.) หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ขู่ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในระดับสูง ส่งผลให้เกิดแรงเทขายหุ้นวงกว้างในช่วงนาทีสุดท้ายของการซื้อขาย
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 9,427.47 จุด ลดลง 81.93 จุด หรือ -0.86% และปิดลบ 0.67% ในรอบสัปดาห์นี้
ทรัมป์ยังขู่จะยกเลิกการประชุมที่วางแผนไว้กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เนื่องจากข้อพิพาทเรื่องแร่หายาก ซึ่งยิ่งทำให้ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกทวีความรุนแรงมากขึ้น
ความขัดแย้งทางการค้าที่กลับมารอบใหม่นี้สร้างความกังวลต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ ร่วงลง 1.8%
ก่อนหน้านี้ ความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย และความหวังว่าความขัดแย้งทางการค้าจะคลี่คลาย เป็นแรงหนุนให้ตลาดหุ้นหลักทั่วโลกปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ รวมถึงดัชนี FTSE 100 ของอังกฤษที่ทำสถิติสูงสุดใหม่เมื่อวันพุธที่ผ่านมา
หุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซเป็นตัวฉุดหลัก โดยร่วงลง 2.9% หลังราคาน้ำมันลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบหลายเดือน หุ้น Shell และหุ้น BP ร่วงลง 2.9% และ 2.8% ตามลำดับ และกลายเป็นแรงกดดันหลักต่อดัชนี FTSE 100
หุ้นกลุ่มอากาศยานและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศลดลง 1.6% โดยหุ้น Rolls-Royce ร่วง 1.4% ส่วนหุ้น BAE Systems และ Melrose ลดลง 1.6% และ 2.6% ตามลำดับ
กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติก็ปรับตัวลงเช่นกัน โดยหุ้นเหมืองแร่โลหะมีค่าและโลหะอุตสาหกรรมลดลง 1.8% และ 2.3% ตามลำดับ สอดคล้องกับการร่วงลงของราคาทองคำและทองแดง โดยหุ้น Endeavour Mining และหุ้น Glencore เป็นหนึ่งในหุ้นที่ร่วงหนักสุดในดัชนี FTSE 100 หลังนักลงทุนขายทำกำไรจากการปรับตัวขึ้นก่อนหน้านี้
หุ้นกลุ่มก่อสร้างลดลง 0.6% โดยหุ้น Ibstock ร่วงลง 4% แตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 9 ปี หลังผู้ผลิตอิฐและคอนกรีตเตือนว่ากำไรทั้งปีจะต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
ในทางกลับกัน หุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐานปรับตัวขึ้น โดยหุ้นกลุ่มเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคส่วนบุคคล ยา และซูเปอร์มาร์เก็ต เพิ่มขึ้น 0.9%