ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกปรับตัวลดลงในช่วงเปิดตลาดวันแรกของสัปดาห์ในวันนี้ (13 ต.ค.) โดยหุ้นจีนเผชิญกับแรงเทขายอย่างหนัก ท่ามกลางความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่กลับมาปะทุขึ้นอีกครั้ง
ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตเปิดตลาดที่ระดับ 3,800.11 จุด ลดลง 96.92 จุด หรือ -2.49% ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดที่ระดับ 25,634 จุด ลดลง 656.32 จุด หรือ -2.5%
ดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นเกาหลีใต้ (KOSPI) ร่วงลง 2.35% ขณะที่ดัชนี ASX/S&P 200 ของออสเตรเลียลดลง 0.68% ส่วนดัชนีหลักของสิงคโปร์ลดลง 1.5%
ด้านตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการวันนี้ เนื่องในวัน Sports Day
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นทั่วภูมิภาคได้รับแรงกดดันหลังจากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศจะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมในอัตราสูงถึง 100% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน เพื่อตอบโต้มาตรการของจีนที่ควบคุมการส่งออกแร่หายาก
ด้านจีนก็ออกมาแสดงจุดยืนอย่างแข็งกร้าวเมื่อวันอาทิตย์ โดยโฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่า "เราไม่กลัว" สงครามการค้ากับสหรัฐฯ และกล่าวหาการกระทำของทรัมป์ว่า "สองมาตรฐาน"
หุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่อย่าง Alibaba Group Holding Ltd. และ Tencent Holdings Ltd. เป็นปัจจัยฉุดดัชนีฮั่งเส็งร่วงลงในวันนี้
แม้ว่าในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา จะมีสัญญาณจากทำเนียบขาวว่าสหรัฐฯ ยังคงเปิดกว้างสำหรับการเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลง แต่ตลาดไม่ตอบรับ โดยนักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมน แซคส์ ได้เตือนถึงความเป็นไปได้ว่าผลลัพธ์จากการเผชิญหน้าครั้งนี้จะหลากหลายมาก โดยอาจจะเป็นการยอมอ่อนข้อและลดภาษีลง หรืออาจนำไปสู่มาตรการจำกัดการส่งออกใหม่ ๆ และการขึ้นภาษีที่สูงขึ้น
ในส่วนของตลาดเงิน ธนาคารกลางจีนได้ปรับเพิ่มอัตราอ้างอิงรายวันของเงินหยวนให้แข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 7.1007 หยวนต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่แข็งค่าที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. และเป็นสัญญาณถึงความตั้งใจของธนาคารกลางที่จะรักษาเสถียรภาพของค่าเงินหยวน