ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเล็กน้อยในวันอังคาร (14 ต.ค.) ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่เพิ่มขึ้นซึ่งสร้างแรงกดดันต่อนักลงทุน ขณะที่การร่วงลงของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่โลหะอุตสาหกรรมถูกชดเชยด้วยแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐาน
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 9,452.77 จุด เพิ่มขึ้น 9.90 จุด หรือ +0.10%
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลง หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ขู่จะเก็บภาษีนำเข้า 100% กับสินค้าจีน เพื่อตอบโต้การที่ปักกิ่งควบคุมการส่งออกแร่หายาก แม้ตลาดฟื้นตัวในวันจันทร์หลังทรัมป์ผ่อนปรนท่าทีลงในช่วงสุดสัปดาห์ แต่ความตึงเครียดกลับปะทุขึ้นอีกครั้งในวันอังคาร เมื่อทั้งสองประเทศเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมท่าเรือเพิ่มเติมตอบโต้กันสำหรับบริษัทขนส่งทางเรือ
หุ้นกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของอังกฤษปรับตัวดีขึ้นกว่ากลุ่มอื่น โดยดัชนีเพิ่มขึ้น 2.2% หลังรัฐบาลประกาศแผนปฏิรูประบบการอนุญาตก่อสร้าง เพื่อเร่งกระบวนการสร้างที่อยู่อาศัย
หุ้น Bellway พุ่งขึ้น 5.3% หลังบริษัทประกาศเพิ่มเงินปันผลและเปิดโครงการซื้อหุ้นคืนมูลค่า 150 ล้านปอนด์ (ราว 199.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) หลังรายงานกำไรก่อนหักภาษีประจำปีสูงกว่าคาดการณ์ ขณะที่หุ้นเพื่อนร่วมอุตสาหกรรมอย่าง Persimmon และ Berkeley ปรับขึ้น 2.6% และ 2.4% ตามลำดับ ติดกลุ่มหุ้นที่ทำผลงานดีที่สุดในดัชนี FTSE 100
หุ้น easyJet พุ่งขึ้น 8% มากที่สุดในกลุ่ม FTSE 100 หลังมีรายงานจากสื่อว่าอาจมีการเข้าซื้อกิจการโดยบริษัทเดินเรือยักษ์ใหญ่ Mediterranean Shipping แม้บริษัทยังไม่ได้ยืนยันข้อตกลงดังกล่าว
ในด้านเศรษฐกิจ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจอังกฤษในปีนี้เล็กน้อย แต่ปรับลดคาดการณ์ในปี 2569 พร้อมคาดว่าอังกฤษจะมีอัตราเงินเฟ้อสูงที่สุดในบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลักทั้งในปี 2568 และ 2569
ข้อมูลทางการระบุว่า ค่าจ้างเฉลี่ยของแรงงานอังกฤษในช่วงสามเดือนสิ้นสุดเดือนส.ค. ชะลอการเติบโตเล็กน้อย ซึ่งบ่งชี้ว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) อาจมีช่องทางในการลดอัตราดอกเบี้ยต่อไปได้ แม้จะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดย BoE คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4% ในเดือนก่อน และยังคงจับตาความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ รวมถึงการเติบโตของค่าจ้าง ขณะที่ข้อมูลจาก LSEG ระบุว่านักลงทุนคาดว่าการปรับลดดอกเบี้ยครั้งถัดไปน่าจะเกิดขึ้นภายในเดือนเม.ย. 2569
แรงบวกของตลาดถูกจำกัดจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่โลหะอุตสาหกรรม ซึ่งลดลง 1.2% ตามราคาทองแดงที่อ่อนตัว โดยหุ้น Anglo American และ Glencore ร่วงลง 2.8% และ 1.1% ตามลำดับ
ส่วนหุ้น BP ลดลง 1.3% หลังบริษัทระบุว่าผลการดำเนินงานด้านการค้าน้ำมันในไตรมาสล่าสุดอ่อนแอกว่าที่คาด