ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 300 จุด ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของภาคธนาคาร ซึ่งช่วยบดบังความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
ณ เวลา 21.18 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 46,626.62 จุด บวก 356.16 จุด หรือ 0.77%
หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ และแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้นในวันนี้ หลังเปิดเผยกำไรและรายได้สูงกว่าคาดในไตรมาส 3/2568
นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มอาหารและเกษตรดีดตัวขึ้น หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ระงับการนำเข้าน้ำมันพืชจากจีน เพื่อตอบโต้ต่อการที่จีนหยุดซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐ
เจพีมอร์แกน เชส ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ออกรายงานคาดการณ์ว่า ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะผ่อนคลายลงในการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ที่มีกำหนดจัดขึ้นนอกรอบการประชุมสุดยอดกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปก (APEC) ที่เมืองคยองจู ประเทศเกาหลีใต้
'เรายังคงคาดว่าประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะพบปะกันในการประชุม APEC ซึ่งจะจัดขึ้นที่เกาหลีใต้ ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม ถึง 1 พฤศจิกายน ซึ่งผลลัพธ์ที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ สหรัฐจะไม่เรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มอีก 100% ต่อจีน หรืออย่างน้อยสิ่งนี้จะยังไม่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และการตั้งข้อจำกัดด้านการส่งออกของทั้งสองฝ่ายจะถูกผ่อนคลายลงมากพอที่จะไม่กลายเป็นการห้ามส่งออกโดยสิ้นเชิง' นายอาเบียล ไรน์ฮาร์ต นักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกน ระบุในรายงาน
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณยุติการใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงิน หลังกล่าววานนี้ว่า เฟดอาจใกล้ถึงจุดที่จะยุติการลดขนาดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
ทั้งนี้ ในการกล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมของสมาคมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจแห่งชาติสหรัฐ (NABE) ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย นายพาวเวลกล่าวถึงท่าทีล่าสุดของเฟดเกี่ยวกับการใช้นโยบาย "คุมเข้มเชิงปริมาณ" (quantitative tightening) หรือ QT ซึ่งเป็นกระบวนการลดการถือครองสินทรัพย์ในงบดุลของเฟดที่มีมูลค่ามากกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์
'แผนของเราที่ประกาศไว้นานแล้วคือการยุติการลดขนาดงบดุล เมื่อปริมาณทุนสำรองอยู่เหนือระดับที่เรามองว่าเพียงพอต่อสภาพคล่องในระบบ โดยเราอาจเข้าใกล้จุดนั้นภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า และเรากำลังติดตามตัวชี้วัดมากมายเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ' นายพาวเวลกล่าว
แม้ประเด็นเรื่องงบดุลถือเป็นรายละเอียดเชิงเทคนิคในนโยบายการเงิน แต่ก็มีความสำคัญต่อตลาดการเงิน เพราะเมื่อสภาพคล่องในตลาดตึงตัว เฟดจะมุ่งให้เกิดภาวะ "ทุนสำรองในระดับสูง" เพื่อให้ภาคธนาคารมีสภาพคล่องเพียงพอในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป เฟดก็จะปรับลดสู่ภาวะ "ทุนสำรองเพียงพอ" เพื่อป้องกันไม่ให้มีเงินทุนล้นระบบเกินไป
ในช่วงการระบาดของโควิด-19 เฟดได้เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้งบดุลของเฟดพุ่งขึ้นเกือบ 9 ล้านล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่กลางปี 2565 เฟดได้ทยอยปล่อยให้ตราสารหนี้เหล่านั้นหมดอายุโดยไม่ซื้อคืน ซึ่งถือเป็นมาตรการหนึ่งในการคุมเข้มนโยบายการเงิน
นอกจากนี้ นายพาวเวลยังกล่าวว่า เริ่มมีสัญญาณบางอย่างบ่งชี้ว่าสภาพคล่องในระบบกำลังตึงตัวขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าการลดทุนสำรองต่อไปจะขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม นายพาวเวลย้ำว่า เฟดไม่มีแผนที่จะลดขนาดงบดุลกลับไปสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 4 ล้านล้านดอลลาร์