ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันพุธ (22 ต.ค.) โดยตลาดถูกกดดันจากผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึง L'Oreal ผู้ผลิตเครื่องสำอางรายใหญ่ และ Hermes เจ้าของแบรนด์แฟชั่นหรูจากฝรั่งเศส
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 572.29 จุด ลดลง 1.01 จุด หรือ -0.18%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,206.87 จุด ลดลง 51.99 จุด หรือ -0.63% , ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,151.13 จุด ลดลง 178.90 จุด หรือ -0.74% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,515.00 จุด เพิ่มขึ้น 88.01 จุด หรือ +0.93%
หุ้น L'Oreal ร่วงลง 6.7% หลังจากบริษัทรายงานยอดขายไตรมาส 3 ที่อ่อนแอเกิดคาด ขณะที่หุ้น Hermes ร่วงลง 2.3% หลังจากบริษัทเปิดเผยแนวโน้มผลประกอบการที่ดีขึ้นเพียงเล็กน้อยในตลาดจีน ซึ่งสร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุน โดยการร่วงลงของหุ้นทั้งสองบริษัทได้ฉุดดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าส่วนบุคคลและสินค้าหรู
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง 1.4% และเป็นปัจจัยฉุดตลาดหุ้นยุโรปเช่นกัน โดยหุ้น ASM International, หุ้น ASML และหุ้น STMicroelectronics ต่างก็ปรับตัวลง หลังจากบริษัท Texas Instruments ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีคู่แข่งในสหรัฐฯ เปิดเผยกำไรและรายได้ที่ต่ำกว่าคาดในไตรมาส 3/2568
อย่างไรก็ดี ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนบวก โดยหุ้นกลุ่มธุรกิจสร้างบ้านและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์พุ่งขึ้นนำตลาด หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหราชอาณาจักร (UK) ทรงตัวที่ระดับ 3.8% ในเดือนก.ย. ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) คาดการณ์ว่าดัชนี CPI จะอยู่ที่ระดับ 4% ในเดือนก.ย.
ทั้งนี้ หลังการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว นักลงทุนให้น้ำหนัก 75% ในการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางอังกฤษจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากระดับ 46% ก่อนที่สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษจะเปิดเผยข้อมูล CPI
นักลงทุนจับตาการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในสัปดาห์หน้า รวมทั้งการแสดงความเห็นของคริสติน ลาการ์ด ประธาน ECB ส่วนในการประชุมครั้งหลังสุดเมื่อวันที่ 11 ก.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมการ ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายติดต่อกันเป็นครั้งที่ 2