ตลาดหุ้นยุโรปปิดทำสถิติสูงสุดในวันศุกร์ (24 ต.ค.) โดยได้แรงหนุนจากข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาด และความหวังต่อการผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ขณะที่นักลงทุนประเมินผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 575.76 จุด เพิ่มขึ้น 1.33 จุด หรือ +0.23%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,225.63 จุด ลดลง 0.15 จุด หรือ -0.002%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,239.89 จุด เพิ่มขึ้น 32.10 จุด หรือ +0.13% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,645.62 จุด เพิ่มขึ้น 67.05 จุด หรือ +0.70%
ตลอดทั้งสัปดาห์นี้ ดัชนี STOXX 600 ปรับตัวขึ้นจากแรงหนุนของหุ้นในกลุ่มผู้บริโภค ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานก็ช่วยหนุนตลาดด้วย หลังสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรผู้จัดจำหน่ายน้ำมันรายใหญ่ของรัสเซียเมื่อวันพฤหัสบดี อันเนื่องมาจากการทำสงครามของรัสเซียกับยูเครน
ในวันศุกร์ ข้อมูลราคาผู้บริโภคของสหรัฐฯ เดือนก.ย.เพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งช่วยหนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ย
นักวิเคราะห์กล่าวว่าความคาดหวังด้านอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ ส่งผลอย่างมากต่อตลาดการเงินทั่วโลก และราคาหุ้นในยุโรปก็อาจเป็นผลสะท้อนจากสิ่งที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ
กลุ่มอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 0.7% โดยหุ้น Lifco พุ่งขึ้น 10% หลังรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ดีกว่าคาด ส่วนหุ้น Saab พุ่งขึ้น 6.1% หลังบริษัทด้านการป้องกันประเทศรายนี้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของยอดขายตลอดทั้งปี
บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Siemens Energy และ Schneider ก็ปรับตัวขึ้นเช่นกัน
หุ้นกลุ่มการเงินช่วยหนุนตลาดด้วย โดยหุ้น LSEG Group พุ่งขึ้นราว 5% หลังโบรกเกอร์หลายแห่งปรับเพิ่มราคาเป้าหมายของหุ้น ส่วนหุ้น NatWest พุ่งขึ้น 4.9% หลังรายงานกำไรไตรมาส 3 สูงขึ้น และปรับเพิ่มเป้าหมายผลการดำเนินงานประจำปี
ในทางกลับกัน หุ้นกลุ่มผู้บริโภคลดลง โดยหุ้นในกลุ่มสินค้าอุปโภคและบริโภคถูกกดดันจากการร่วงลงเกือบ 4% ของหุ้น Kering หลังถูกลดอันดับคำแนะนำลงทุนโดย HSBC
การยืนยันจากทำเนียบขาวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ จะพบกับประธานาธิบดีจีนในสัปดาห์หน้า ก็ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ตลาดเช่นกัน ท่ามกลางเส้นตายการบังคับใช้ภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มอีก 100% ของสหรัฐฯ ในวันที่ 1 พ.ย.
นักวิเคราะห์รายหนึ่งระบุว่า ตลาดมีความหวังมากขึ้นในด้านการค้า โดยการพบกันระหว่างสหรัฐฯ กับจีน รวมถึงแนวโน้มผลประกอบการที่ดีขึ้นกำลังเป็นแรงหนุนตลาด
ข้อมูลยอดค้าปลีกของสหราชอาณาจักรเดือนก.ย. และข้อมูลกิจกรรมทางธุรกิจของยูโรโซนเดือนต.ค. ที่ออกมาดีกว่าคาด ก็ช่วยสร้างบรรยากาศเชิงบวกในตลาดเช่นกัน