ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าผันผวนในวันนี้ (31 ต.ค.) ขณะที่นักลงทุนประเมินภาวะเศรษฐกิจหลังเสร็จสิ้นการเจรจาสงบศึกทางการค้าชั่วคราวระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากข้อมูลที่บ่งชี้ว่าภาคการผลิตของจีนหดตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ระดับ 51,948.26 จุด เพิ่มขึ้น 622.65 จุด หรือ +1.21% ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดภาคเช้าที่ 3,961.62 จุด ลดลง 25.28 จุด หรือ -0.63% และดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ระดับ 26,050.08 จุด ลดลง 232.61 จุด หรือ -0.89%
ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปรับตัวขึ้น 0.57% ส่วนดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียบวก 0.19%
ปธน.ทรัมป์เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวบนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันหลังเสร็จสิ้นการเจรจากับปธน.สีที่เมืองปูซานของเกาหลีใต้เมื่อวานนี้ว่า เขาได้ตกลงที่จะลดภาษีสินค้านำเข้าจากจีนลงเหลือ 47% จากเดิม 57% เพื่อแลกกับการที่จีนจะกลับมาซื้อถั่วเหลืองของสหรัฐฯ รวมทั้งเดินหน้าการส่งออกแร่หายาก และกวาดล้างการค้าเฟนทานิลที่ผิดกฎหมาย
สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานในวันนี้ว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตลดลงสู่ระดับ 49.0 ในเดือนต.ค. จากระดับ 49.8 ในเดือนก.ย. โดยดัชนี PMI เดือนต.ค.ถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 49.6 บ่งชี้ว่ารัฐบาลจีนจำเป็นต้องเร่งออกมาตรการกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ
ทั้งนี้ กิจกรรมด้านการผลิตของจีนยังคงอยู่ในภาวะหดตัวนับตั้งแต่เดือนเม.ย. หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากร ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อโรงงานต่าง ๆ ของจีน และส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ทั่วโลก
พรรคคอมมิวนิสต์จีนให้คำมั่นว่าจะใช้มาตรการกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ หลังเสร็จสิ้นการประชุมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยที่ประชุมได้มีการร่างแผนเศรษฐกิจและนโยบายระยะเวลา 5 ปี ขณะเดียวกันก็เน้นย้ำถึงการสร้างความแข็งแกร่งของระบบอุตสาหกรรมภายในประเทศ