ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดร่วงลงกว่า 100 จุด ส่งสัญญาณการปรับตัวลงของตลาดหุ้นวอลล์สตรีท หลังพุ่งขึ้นวานนี้
ณ เวลา 21.23 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ลบ 127 จุด หรือ 0.26% สู่ระดับ 48,241 จุด
ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดวานนี้พุ่งขึ้นกว่า 500 จุดแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขานรับความหวังสหรัฐใกล้ยุติภาวะปิดหน่วยงานรัฐบาล หรือชัตดาวน์
ภาวะชัตดาวน์ ซึ่งกินเวลา 43 วัน ทำสถิติยาวนานที่สุดของสหรัฐได้สิ้นสุดลงในวันนี้ หลังจากที่สภาคองเกรสผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ลงนามเป็นกฎหมายเพื่อให้มีผลบังคับใช้
อย่างไรก็ดี แม้จะมีข่าวดีดังกล่าว แต่การต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันที่ยังคงรุนแรง ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า การชัตดาวน์จะเกิดขึ้นอีกภายในเวลาเพียงสองเดือน
นักวิเคราะห์มองว่างบประมาณฉบับนี้เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาทางการเมืองเฉพาะหน้าเท่านั้น โดยมีการจัดสรรงบประมาณให้หน่วยงานรัฐบาลส่วนใหญ่ในระดับเดิมจนถึงเพียงวันที่ 30 มกราคม 2569 และครอบคลุมเพียง 3 ใน 12 ร่างกฎหมายงบประมาณที่สภาคองเกรสต้องให้การอนุมัติในแต่ละปี
หากพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันยังคงไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในอีก 9 ร่างกฎหมายที่เหลือ รัฐบาลสหรัฐอาจต้องเผชิญกับภาวะชัตดาวน์อีกครั้งในอีกเพียงสองเดือนข้างหน้า
แม้รัฐบาลได้กลับมาเปิดทำการแล้ว แต่ความจริงก็คือ ทั้งสองพรรคยังคงโต้เถียงและโยนความผิดให้แต่ละฝ่าย
ปธน.ทรัมป์โพสต์ข้อความบน Truth Social ว่า "พรรคเดโมแครตทำให้ประเทศนี้ต้องสูญเสียเงินไป 1.5 ล้านล้านดอลลาร์จากพฤติกรรมที่โหดร้ายในการปิดประเทศของพวกเขา และพวกเขาควรต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำ"
ปธน.ทรัมป์ยังกล่าวในพิธีลงนามร่างกฎหมายดังกล่าวว่า ผลกระทบทั้งหมดจะต้องใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์ หรืออาจเป็นเดือน กว่าที่จะสามารถประเมินได้อย่างแม่นยำ รวมถึงความเสียหายต่อเศรษฐกิจ ประชาชน และภาคครัวเรือน
ด้านนางแคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว กล่าวหาพรรคเดโมแครตเช่นกันว่า ทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ต้องตัดสินใจอย่างมืดบอดในช่วงเวลาสำคัญ เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจเกี่ยวกับเงินเฟ้อและตลาดแรงงานประจำเดือนตุลาคมอาจไม่สามารถเผยแพร่ได้เลย อันเนื่องจากผลกระทบของการชัตดาวน์
สมาชิกพรรคเดโมแครตบางรายก็แสดงความไม่พอใจต่อร่างงบประมาณฉบับนี้ โดยเฉพาะในประเด็นผลประโยชน์ด้านการประกันสุขภาพ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นที่พรรคให้ความสำคัญสูงสุด โดยนายจอห์น ธูน ผู้นำเสียงข้างมากจากพรรครีพับลิกันในวุฒิสภา ให้คำมั่นกับพรรคเดโมแครตเพียงแค่จะมีการลงมติในเรื่องนี้ แต่ไม่รับประกันว่าจะมีการอนุมัติจริง
นายเบอร์นี แซนเดอร์ส วุฒิสมาชิกอิสระจากรัฐเวอร์มอนต์ที่ทำงานร่วมกับพรรคเดโมแครต เรียกข้อตกลงนี้ว่าเป็นหายนะ โดยกล่าวว่า พรรคเดโมแครตแทบไม่ได้อะไรกลับมา นอกจากสัญลักษณ์ของชัยชนะเพียงเล็กน้อย ขณะที่นายเจบี พริตซ์เกอร์ ผู้ว่าการรัฐอิลลินอยส์ ระบุว่า นี่ไม่ใช่ข้อตกลง แต่เป็นเพียงคำสัญญาลม ๆ แล้ง ๆ
นักวิเคราะห์ชี้ว่า ทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันต่างใช้ประเด็นความขัดแย้งนี้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ท่ามกลางการต่อสู้ในเกมอำนาจ ซึ่งเป็นลักษณะซ้ำซากทางการเมืองของสหรัฐ ขณะที่ทั้งสองฝ่ายพยายามเอาใจฐานเสียงของตนเองก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมในปีหน้า ท่ามกลางสังคมที่แตกแยกมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นภัยต่อเสถียรภาพและสวัสดิการสังคมโดยรวม
ผลสำรวจของ Reuters/Ipsos ระบุว่า 50% ของชาวอเมริกันกล่าวโทษพรรครีพับลิกันว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการชัตดาวน์ ขณะที่ 47% กล่าวโทษพรรคเดโมแครต ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าไม่มีฝ่ายใดสามารถชี้อีกฝ่ายว่าเป็น "ผู้ร้าย" ได้อย่างแท้จริง