ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดทรุดตัวลงกว่า 500 จุด ขณะที่นักลงทุนพากันเทน้ำหนักต่อคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค. หลังทำเนียบขาวระบุว่า การปิดหน่วยงานรัฐบาล หรือชัตดาวน์ อาจส่งผลทำให้ไม่มีการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อและการจ้างงานประจำเดือนต.ค. ซึ่งข้อมูลดังกล่าวมีความสำคัญต่อการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินของเฟด
ณ เวลา 01.19 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลบ 529.63 จุด หรือ 1.10% สู่ระดับ 47,725.19 จุด
ราคาหุ้นบริษัท วอลท์ ดิสนีย์ ดิ่งลงกว่า 9% ในวันนี้ หลังเปิดเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวัง
ดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ พุ่งขึ้น 10% และอยู่ใกล้ระดับ 20 ซึ่งบ่งชี้ถึงความวิตกของนักลงทุน และความผันผวนในตลาด
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 49.4% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% ในการประชุมเดือนธ.ค. จากเดิมที่ให้น้ำหนักมากถึง 62.9% เมื่อวานนี้
นอกจากนี้ นักลงทุนให้น้ำหนัก 50.6% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือนธ.ค. จากเดิมที่ให้น้ำหนักเพียง 37.1% เมื่อวานนี้
นางแคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว กล่าวว่า อาจไม่มีการเผยแพร่ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนต.ค. เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวได้รับผลกระทบจากการชัตดาวน์
ขณะเดียวกัน นางเลวิตต์ได้กล่าวโทษพรรคเดโมแครตว่าเป็นสาเหตุทำให้ไม่มีการเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าว
'พรรคเดโมแครตอาจสร้างความเสียหายอย่างถาวรต่อระบบสถิติของรัฐบาลกลาง โดยเฉพาะรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และรายงานการจ้างงานประจำเดือนต.ค. ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะไม่ได้รับการเปิดเผย ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจทั้งหมดที่ออกมาจะไม่สมบูรณ์ ทำให้บรรดาผู้กำหนดนโยบายของเฟดต้องตัดสินใจอย่างมืดบอดในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้' นางเลวิตต์กล่าว
นอกจากนี้ ตลาดถูกกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า การยุติภาวะชัตดาวน์ จะทำให้สหรัฐเผชิญกับปัญหาหนี้สาธารณะเพิ่มสูงยิ่งขึ้น และสหรัฐอาจเผชิญภาวะชัตดาวน์ครั้งใหม่ในเวลาอีกสองเดือน
ทั้งนี้ การชัตดาวน์ซึ่งกินเวลา 43 วัน ทำสถิติยาวนานที่สุดของสหรัฐได้สิ้นสุดลงในวันนี้ หลังจากที่สภาคองเกรสผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ลงนามเป็นกฎหมายเพื่อให้มีผลบังคับใช้
อย่างไรก็ดี กฎหมายดังกล่าวมีการจัดสรรงบประมาณให้หน่วยงานรัฐบาลส่วนใหญ่ในระดับเดิมจนถึงเพียงวันที่ 30 มกราคม 2569 และคาดว่างบประมาณดังกล่าวจะทำให้รัฐบาลมีหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอีก 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ จากเดิมอยู่ที่ระดับ 38 ล้านล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ การต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันที่ยังคงรุนแรง ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า การชัตดาวน์จะเกิดขึ้นอีกภายในเวลาเพียงสองเดือน
นักวิเคราะห์มองว่างบประมาณฉบับนี้เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาทางการเมืองเฉพาะหน้าเท่านั้น โดยมีการจัดสรรงบประมาณให้หน่วยงานรัฐบาลส่วนใหญ่ในระดับเดิมจนถึงเพียงวันที่ 30 มกราคม 2569 และครอบคลุมเพียง 3 ใน 12 ร่างกฎหมายงบประมาณที่สภาคองเกรสต้องให้การอนุมัติในแต่ละปี
หากพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันยังคงไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในอีก 9 ร่างกฎหมายที่เหลือ รัฐบาลสหรัฐอาจต้องเผชิญกับภาวะชัตดาวน์อีกครั้งในอีกเพียงสองเดือนข้างหน้า
แม้รัฐบาลได้กลับมาเปิดทำการแล้ว แต่ความจริงก็คือ ทั้งสองพรรคยังคงโต้เถียงและโยนความผิดให้แต่ละฝ่าย
ปธน.ทรัมป์โพสต์ข้อความบน Truth Social ว่า "พรรคเดโมแครตทำให้ประเทศนี้ต้องสูญเสียเงินไป 1.5 ล้านล้านดอลลาร์จากพฤติกรรมที่โหดร้ายในการปิดประเทศของพวกเขา และพวกเขาควรต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำ"
ปธน.ทรัมป์ยังกล่าวในพิธีลงนามร่างกฎหมายดังกล่าวว่า ผลกระทบทั้งหมดจะต้องใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์ หรืออาจเป็นเดือน กว่าที่จะสามารถประเมินได้อย่างแม่นยำ รวมถึงความเสียหายต่อเศรษฐกิจ ประชาชน และภาคครัวเรือน
สมาชิกพรรคเดโมแครตบางรายก็แสดงความไม่พอใจต่อร่างงบประมาณฉบับนี้ โดยเฉพาะในประเด็นผลประโยชน์ด้านการประกันสุขภาพ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นที่พรรคให้ความสำคัญสูงสุด โดยนายจอห์น ธูน ผู้นำเสียงข้างมากจากพรรครีพับลิกันในวุฒิสภา ให้คำมั่นกับพรรคเดโมแครตเพียงแค่จะมีการลงมติในเรื่องนี้ แต่ไม่รับประกันว่าจะมีการอนุมัติจริง
นายเบอร์นี แซนเดอร์ส วุฒิสมาชิกอิสระจากรัฐเวอร์มอนต์ที่ทำงานร่วมกับพรรคเดโมแครต เรียกข้อตกลงนี้ว่าเป็นหายนะ โดยกล่าวว่า พรรคเดโมแครตแทบไม่ได้อะไรกลับมา นอกจากสัญลักษณ์ของชัยชนะเพียงเล็กน้อย ขณะที่นายเจบี พริตซ์เกอร์ ผู้ว่าการรัฐอิลลินอยส์ ระบุว่า นี่ไม่ใช่ข้อตกลง แต่เป็นเพียงคำสัญญาลม ๆ
แล้ง ๆนักวิเคราะห์ชี้ว่า ทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันต่างใช้ประเด็นความขัดแย้งนี้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ท่ามกลางการต่อสู้ในเกมอำนาจ ซึ่งเป็นลักษณะซ้ำซากทางการเมืองของสหรัฐ ขณะที่ทั้งสองฝ่ายพยายามเอาใจฐานเสียงของตนเองก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมในปีหน้า ท่ามกลางสังคมที่แตกแยกมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นภัยต่อเสถียรภาพและสวัสดิการสังคมโดยรวม
ผลสำรวจของ Reuters/Ipsos ระบุว่า 50% ของชาวอเมริกันกล่าวโทษพรรครีพับลิกันว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการชัตดาวน์ ขณะที่ 47% กล่าวโทษพรรคเดโมแครต ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าไม่มีฝ่ายใดสามารถชี้อีกฝ่ายว่าเป็น "ผู้ร้าย" ได้อย่างแท้จริง