ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบในวันศุกร์ (14 พ.ย.) หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษพุ่งขึ้นจากรายงานที่ว่า รัฐบาลอังกฤษได้ยกเลิกแผนขึ้นภาษีเงินได้ในการนำเสนองบประมาณรอบถัดไป แม้ตลาดยังคงปิดบวกเล็กน้อยในรอบสัปดาห์นี้
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 9,698.37 จุด ลดลง 109.31 จุด หรือ -1.11%
ดัชนี FTSE 100 ลดลงรายวันมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย. ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดโลกผันผวนจากการประกาศภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ดัชนียังเพิ่มขึ้น 0.2% ในรอบสัปดาห์นี้
แหล่งข่าวรัฐบาลอังกฤษเปิดเผยว่า เรเชล รีฟส์ รัฐมนตรีคลังของอังกฤษตัดสินใจล้มเลิกแผนขึ้นภาษีเงินได้ในการประกาศงบประมาณเดือนนี้ ทำให้นักลงทุนวิตกกังวล โดยเดิมคาดกันว่าการปรับขึ้นภาษีจะช่วยแก้ปัญหาขาดดุลการคลังที่เพิ่มขึ้น
ตลาดหุ้นปรับตัวลงแรงทันทีหลังไฟแนนเชียลไทมส์รายงานข่าวดังกล่าว และฟื้นตัวขึ้นเพียงบางส่วน หลังสื่อต่าง ๆ รายงานเพิ่มเติมว่า การตัดสินใจดังกล่าวได้รับอิทธิพลจากการปรับคาดการณ์ด้านการคลังที่ดีขึ้น
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นวันเดียวมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่า 0.3%
แรงขายครอบคลุมหุ้นหลายกลุ่ม โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ที่ร่วงลง 2.2%
หุ้นเหมืองแร่โลหะมีค่า ร่วงลง 2.4% ตามราคาทองคำที่ร่วงลง
หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ร่วง 2.2% โดยหุ้น Land Securities ร่วงลง 5.2% หลังรายงานมูลค่าทรัพย์สินลดลงในครึ่งปีแรกของปีงบการเงิน
หุ้น Melrose Industrie เจ้าของกิจการ GKN Aerospace ลดลง 1.2% หลังจากยังคงยืนยันคาดการณ์ผลประกอบการทั้งปี
หุ้นบริษัทโรงแรม PPHE Hotel Group พุ่ง 16.3% หลังมีรายงานว่านักลงทุนรายสำคัญกำลังพิจารณาขายหุ้นบางส่วน
ด้านธนาคารกลางอังกฤษระบุว่าจะพิจารณาปรับกฎระเบียบเพื่อช่วยให้บริษัทประกันชีวิตเข้าถึงตลาดทุนได้ง่ายขึ้น เพื่อตอบสนองต่อความกังวลของอุตสาหกรรมเกี่ยวกับความยากลำบากในการระดมทุนผ่านตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้
บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกซบเซา หลังเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณคุมเข้มนโยบายการเงินเมื่อวันพฤหัสบดี ซึ่งทำลายความหวังเกี่ยวกับการปรับลดดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. ประกอบกับความไม่ชัดเจนของข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และความกังวลเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่เอไอ